“พาณิชย์” เปิดตัวโครงการ “ธงฟ้าประชารัฐ” ร่วมมือผู้ผลิตรายใหญ่ 5 ราย นำสินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูกกว่าท้องตลาด 15-20% จำหน่ายให้แก่ประชาชนที่เดินทางกลับบ้านช่วงสงกรานต์ที่หมอชิต สายใต้ใหม่ และหัวลำโพง ก่อนเริ่มจำหน่ายผ่านทางช่องทางร้านค้าปลีก 6,056 แห่งปลายเดือน เม.ย.นี้ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้แก่คนไทยแบบถาวร
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมการค้าภายในได้นำสินค้าธงฟ้าประชารัฐมาจำหน่ายให้แก่ประชาชนที่เดินทางเป็นจำนวนมากในช่วงก่อนวันหยุดต่อเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร/หมอชิต) สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (สายใต้ใหม่) และสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ระหว่างวันที่ 9-11 เม.ย. 2560 เวลา 09.00-21.00 น. และจะเริ่มจำหน่ายสินค้าธงฟ้าประชารัฐผ่านช่องทางร้านค้าปลีกที่เข้าร่วมโครงการในช่วงปลายเดือนเม.ย.2560 ต่อไป
ทั้งนี้ การเปิดตัวโครงการ “ธงฟ้าประชารัฐ” ในครั้งนี้ เป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนที่กำลังจะเดินทางกลับภูมิลำเนา ที่จะได้ซื้อของถูกกลับไปฝากญาติพี่น้อง โดยสินค้าที่นำมาจำหน่ายเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน จำนวน 18 สินค้า 48 รายการ เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก แชมพู บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง เป็นต้น โดยมีราคาถูกกว่าท้องตลาด 15-20%
“หลังจากเปิดตัวครั้งนี้แล้ว กระทรวงพาณิชย์จะเริ่มเปิดจำหน่ายสินค้าข้างต้นในร้านค้าปลีกที่อยู่ในความส่งเสริมของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 5,454 แห่ง ร้านค้าในการส่งเสริมของสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ระยะแรก 500 แห่ง จากที่มีอยู่ 19,000 แห่ง ร้านค้าศูนย์สาธิตการตลาดในการส่งเสริมของกรมพัฒนาชุมชน ระยะแรก 102 แห่ง จากร้านค้าที่มี 790 แห่ง รวมร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการในระยะแรกประมาณ 6,056 แห่ง รวมทั้งจะมีร้านค้าปลีกอื่นๆ ที่จำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการทั้ง 5 ราย เข้าร่วมโครงการด้วย” นายสนธิรัตน์กล่าว
สำหรับสินค้าที่นำมาจำหน่ายในโครงการ “ธงฟ้าประชารัฐ” เป็นสินค้าจากผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ จำนวน 5 ราย ได้แก่ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) บริษัท ยูนิลีเวอร์ไทย เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการจัดทำโครงการเพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชนแบบถาวร
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ในช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบราคาสินค้าและบริการ รวมทั้งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการตามสถานีขนส่งและสถานีรถไฟทั่วประเทศ เช่น ผู้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ผู้ให้บริการรับฝากของบริการรถเข็มสัมภาระ จะต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและค่าบริการ เพื่อป้องปรามมิให้ฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าและคิดค่าบริการสูงเกินสมควร
“หากพบการกระทำผิด ประชาชนสามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 จะมีการจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ และหากพบการกระทำความผิดจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยกรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคามีโทษปรับ 10,000 บาท กรณีจำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร กักตุนสินค้าและปฏิเสธการจำหน่ายต้องโทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นายสนธิรัตน์กล่าว