“อภิรดี” บินไปประกาศเปิดการเจรจา FTA กับตุรกีวันที่ 19 ก.ค.นี้ ก่อนเริ่มเจรจาครั้งแรกทันทีเพื่อวางกรอบการเปิดเสรี ตั้งเป้าเจรจาจบภายในปี 2561 เผยไทยได้ประโยชน์ ทั้งจีดีพีโต ส่งออกเพิ่ม และยังสามารถใช้ตุรกีเป็นสะพานเชื่อมไปยังยุโรปตะวันออก กลุ่มประเทศบอลข่าน และแอฟริกาตอนเหนือ
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จะเดินทางไปเยือนกรุงอังการา ประเทศตุรกี เพื่อเข้าร่วมพิธีประกาศเปิดเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ร่วมกับนาย Nihat Zeybekçi รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของตุรกี ในวันที่ 19 ก.ค. 2560 และจากนั้นจะเริ่มการเจรจา FTA รอบแรกทันทีระหว่างวันที่ 19-20 ก.ค. 2560 โดยฝ่ายไทยมี นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นประธานร่วมกับ Mr. Murat Yapici อธิบดีกรมกิจการสหภาพยุโรป กระทรวงเศรษฐกิจตุรกี
ทั้งนี้ แนวทางในการเจรจารอบแรก ทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายเพื่อหารือโครงสร้างของความตกลงการค้าสินค้า แผนการเจรจา และเป้าหมายการเจรจา เพื่อให้การดำเนินการเจรจาสามารถเสร็จสิ้นได้ภายในปลายปี 2561
นางอภิรดีกล่าวว่า ผลการศึกษาที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้จ้างมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (มูลนิธิ สวค.) ศึกษา พบว่า การทำ FTA กับตุรกีจะทำให้ GDP ของไทยเพิ่มขึ้น 0.03-0.04% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 74-99 ล้านเหรียญสหรัฐ และการส่งออกของไทยไปโลกจะเพิ่มขึ้น 0.03-0.05% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 50-90 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยรายการสินค้าที่คาดว่าไทยจะได้รับประโยชน์ ได้แก่ ยานพาหนะ ตู้เย็น พลาสติกชนิดโพลิสไตรีน ผ้าทอ เมล็ดพืช อาหารฮาลาล เคมีภัณฑ์อินทรีย์ พลาสติกและผลิตภัณฑ์ ยางและผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ตุรกีเป็นประเทศที่มีความได้เปรียบด้านที่ตั้ง สามารถเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเอเชียกับยุโรป และเป็นจุดเชื่อมต่อทางการค้า ทั้งด้านเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตก เป็นประเทศมุสลิมแบบเปิดจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางที่เป็นประเทศมุสลิมด้วยกัน และยังเป็นเส้นทางขนส่งสำคัญจากทะเลแคสเปียนและภูมิภาคเอเชีย ไทยจึงสามารถใช้ตุรกีเป็นสะพานเชื่อมต่อทางการค้าไปสู่ประเทศต่างๆ ได้ เช่น ยุโรปตะวันออก กลุ่มประเทศบอลข่าน และแอฟริกาตอนเหนือ ในขณะเดียวกัน ตุรกีสามารถใช้ไทยเป็นประตูสู่ภูมิภาคอาเซียน และ CLMV ได้
ส่วนในด้านการลงทุน ตุรกีมีนโยบายส่งเสริมการลงทุน และให้การคุ้มครองนักลงทุน จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนไทยที่จะเข้าไปลงทุนในตุรกีและโอกาสในการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร การแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร และประมง รวมทั้งการผลิตอาหารฮาลาล เป็นต้น
