*** เพราะประเทศไทยเป็นฐานตลาดที่สำคัญ และเป็นฮับทางด้านนวัตกรรมเป็นประเทศที่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในวงการสินค้า ทำให้ “รามัน ซิงห์” ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ละตินอเมริกา ตะวันกออกกลาง และแอฟริกา ของ “มุนดิฟาร์มา” เจ้าของแบรนด์ “เบตาดีน” อันโด่งดัง ในปี 2560 จึงเลือกใช้ไทยเป็นประเทศแรกในการเปิดตัวการรุกเข้าสู่ตลาดเฮลท์แคร์ที่แรกของโลก ด้วยการส่ง ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ “เบตาดีน เนเชอรัล ดีเฟนส์ ลงตลาด พร้อมดำเนินการผลิตในประเทศไทย ***
*** จากเดิมสินค้าหลักของ “เบตาดีน” ที่ทำตลาดทั่วโลกมี 3 กลุ่มคือ ยารักษาบาดแผล สัดส่วน 60% สินค้าดูแลสุขภาพผู้หญิง 15% และยาแก้ไอ เจ็บคอ 25% และจะมีสินค้ากลุ่มใหม่ๆ ทยอยออกมาต่อเนื่องเพื่อขยายตลาด เนื่องจากตลาดยารักษาบาดแผลในไทยหรือแม้แต่ที่อื่น โอกาสในการขยายตัวน้อยและเป็นตลาดเล็กในไทยเพียงแค่ 250 ล้านบาทเท่านั้นในช่องทางร้านขายยา แม้ปัจจุบัน “เบตาดีน” จะเป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลบาดแผล ครองส่วนแบ่งทางการตลาดในเมืองไทยที่ 42% ก็ตาม ***
*** นายใหญ่ “เบตาดีน” ยังมั่นใจด้วยว่า ภายในเวลาอีก 5 ปีจากนี้ สินค้ากลุ่มเฮลท์แคร์จะมีสัดส่วนรายได้มากถึง 40% เพราะเป็นตลาดใหญ่ ขณะที่กลุ่มยารักษาดูแลบาดแผลและอื่นๆ จะเป็น 60% ***
*** ด้วยมูลค่าตลาดรวมผลิตภัณฑ์อาบน้ำในไทยกว่า 5,800 ล้านบาท โดยกลุ่มครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพผิวมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 23% หรือคิดเป็น 1,300 ล้านบาท โดยรวมแล้วผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำมีการเติบโตขึ้นจากปีก่อน (2559) ราว 5% โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพผิวเติบโตที่ 8% ***
*** สาเหตุที่ทำให้ “เบตาดีน” เข้าสู่สมรภูมินี้ในไทย “อูโก้ อเลซานโดร ซาฟเวดรา” ผู้จัดการทั่วไป มุนดิฟาร์มา (ประเทศไทย) ย้ำว่า หากพิจารณากลุ่มตลาดผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำเพื่อสุขอนามัยจะพบว่ามีการครอบครองส่วนแบ่งโดยผลิตภัณฑ์เพียงไม่กี่แบรนด์ ขนาดของตลาด การเติบโต และจำนวนผู้เล่นในตลาด เป็นปัจจัยหลักที่ทางเรามองเห็นว่าเป็นโอกาสของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ลงในกลุ่มนี้ โดยมีการตั้งเป้าการตลาดไว้ที่ส่วนแบ่ง 10% ในตลาดครีมอาบน้ำเพื่อสุขอนามัย ภายในสิ้นปี 2560 และเป้าหมาย 5 ปีจากนี้ “เบตาดีนจะมีแชร์ 35%ให้ได้ โดยปีนี้ใช้งบประมาณการตลาดประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อบุกตลาดเต็มที่ ***