xs
xsm
sm
md
lg

“ไมเนอร์ฟู้ด” ทุ่ม 1.6 พันล้านเพิ่ม 200 สาขา เร่งนำอาหารแบรนด์ใหม่เข้าไทยเสริมทัพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

(จากซ้ายไปขวา) Mr.Rainer Becker, วิลเลียม ไฮเน็ค, Mr.Sven Koch
ผู้จัดการรายวัน 360 - “ไมเนอร์ฟู้ด” ทุ่มงบก้อนโต 1,600 ล้านบาท ลุยปี 60 นี้ เพิ่มสาขากว่า 200 แห่งทั้งในไทยและต่างประเทศ พร้อมมองหาแบรนด์ใหม่ตลอดเวลาเพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอจากปัจจุบันมีมากกว่า 2,017 สาขาแล้ว เผยร้านซูมาอาหารญี่ปุ่นเตรียมเปิดป็อปอัพปลายปีนี้

นายวิลเลียม ไฮเน็ค ประธานและผู้ก่อตั้ง ไมเนอร์กรุ๊ป เปิดเผยว่า ไมเนอร์ฯ ยังคงมีแผนการลงทุนธุรกิจอย่างต่อเนื่องไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจในไทยจะเป็นอย่างไร โดยในกลุ่มอาหารปี 2560 นี้ ทางไมเนอร์ฯ ตั้งงบประมาณการลงทุนไว้ 1,600 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาของแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ที่มีอยู่ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่จะเปิดมากกว่า 200 สาขาในปีนี้ โดยจะเน้นไปที่แบรนด์หลักๆ ที่สามารถสร้างรายได้และอัตรากำไรได้ดีเป็นหลัก

ขณะเดียวกันก็ยังมีการมองหาแบรนด์อาหารใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะนำเข้ามาลงทุนขยายกิจการในไทย ซึ่งมีทั้งที่อยู่ระหว่างการเจรจาและที่ศึกษาอยู่ แม้ว่าปัจจุบันทางไมเนอร์จะมีจำนวนร้านอาหารเครื่องดื่มมากมายหลายแบรนด์ทั้งที่เป็นของบริษัทฯ เองและที่เป็นการรับสิทธิ์แฟรนไชส์ก็ตาม เนื่องจากตลาดประเทศไทยยังคงเป็นตลาดที่น่าลงทุนและมีการเติบโตที่ดีในระยะยาว

ปัจจุบันไมเนอร์กรุ๊ปมีจำนวนสาขาร้านอาหารมากกว่า 2,017 แห่ง ทั้งในไทยและต่างประเทศ และแบรนด์ที่รู้จักกันดี เช่น เดอะพิซซ่าคอมปะนี แดรี่ควีน ซิซซ์เล่อร์ คอฟฟี่คลับ ร้านอาหารญี่ปุ่นซูมา เป็นต้น โดยมีรายได้เติบโตในไตรมาสแรก ปี 2560 นี้ ประมาณ 15% โดยรายได้ของกลุ่มอาหารในปี 2559 ที่ผ่านมามีประมาณ 25,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มอาหารคิดเป็นสัดส่วน 40% ของรายได้รวมทั้งไมเนอร์กรุ๊ป

นายวิลเลี่ยมกล่าวต่อถึงร้านอาหารญี่ปุ่นซูมาในไทยว่า หลังจากที่เปิดบริการมานานกว่า 6 ปีในไทยที่โรงแรมเซนจ์รีจิส ถนนราชดำริ แล้ว พบว่าผลประกอบการดีขึ้นตามลำดับตามเป้าหมาย โดยมีผลกำไรตั้งแต่ปีที่สามเนื่องจากร้านซูมาได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาดทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เพราะเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีทั่วโลก และไทยยังเป็นตลาดเดียวที่ซูมาโกลบอล ซึ่งก่อตั้งโดยเชฟเรนเนอร์ เบ็คเกอร์ และเป็นเจ้าของด้วยได้เข้ามาร่วมลงทุนในไทยกับทางกลุ่มไมเนอร์ ถือหุ้นเท่ากันฝ่ายละ 50% ขณะที่ในประเทศอื่นๆ นั้นทางซูมาโกลบอลจะลงทุนเองทั้งหมด

ที่ผ่านมามีลูกค้าเข้าใช้บริการร้านซูมาเฉลี่ย 200 คนต่อวันธรรมดา และ 300-400 คนในวันเสาร์-อาทิตย์ สัดส่วนลูกค้าเป็นคนไทย 50% ต่างชาติ 50% มีรายได้ประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะประสบความสำเร็จมาก แต่ก็ยังไม่มีแผนขยายสาขาเพิ่มในลักษณะเต็มรูปแบบเพราะต้องการคงไว้ซึ่งความเป็นพรีเมียมและความเป็นเอกลักษณ์ เหมือนในต่างประเทศที่เปิดบริการประเทศละ 1 สาขาเท่านั้นเป็นหลัก แต่จะใช้กลยุทธ์ป็อปอัพสโตร์ คือ จะเปิดร้านชั่วคราวประมาณ 2 เดือนที่โรงแรมอนันตรา ที่ภูเก็ตที่เป็นของไมเนอร์ฯ เองในช่วงปลายปีนี้ เหมือนที่เคยทำมาแล้วและได้รับความสำเร็จอย่างดี

Mr. Rainer Becker ผู้ก่อตั้ง ZUMA Global ซูมาโกลบอล กล่าวว่า ร้านนี้มีต้นกำเนิดสาขาแรกที่ลอนดอน อังกฤษ ในปี ค.ศ. 2002 โดยมีหุ้นส่วน คือ Arjun Waney มีสาขาทั่วโลก เช่น ลอนดอน นิวยอร์ก โรม ดูไบ และกรุงเทพฯ รวมกว่า 11 สาขาใน 7 ประเทศ โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะให้บริการอาหารและเครื่องดื่มคุณภาพสูง บรรยากาศหรูหรา ซึ่งความสำเร็จเกิดจากทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ดีไซน์ร้านอาหาร และดนตรี ที่มีคุณภาพ

Mr. Sven Koch CEO of ZUMA Global กล่าวว่า ซูมาลงทุนเองในทุกประเทศยกเว้นประเทศไทยที่มีการร่วมทุน ซึ่งในแต่ละประเทศจะมีเพียง 1 สาขา มีบางประเทศที่มี 2 สาขา เช่น ดูไบ ซึ่งหลังจากนี้จะขยายสาขาต่อเนื่อง เช่นที่บอสตันได้เซ็นสัญญาแล้ว และมองทำเลที่ลอสแองเจลิส กับเม็กซิโกด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น