xs
xsm
sm
md
lg

“แฮปปี้ เพ็ท” สร้างจุดต่างเจาะตลาดอาหารสุนัข-แมว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายศิริวุฒิ ธนศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แฮปปี้ เพ็ท (ประเทศไทย) จำกัด
ผู้จัดการรายวัน 360 - “HAPPY DOG” และ “HAPPY CAT” อาหารสุนัขและแมวอันดับหนึ่งจากเยอรมนี สบช่องตลาด 1.2 หมื่นล้านบาทเติบโตต่อเนื่อง 15-20% ในช่วง 3-5 ปี เจาะเซกเมนต์ระดับซูเปอร์พรีเมียม ดึงจุดเด่นด้านคุณภาพ Made in Germany หวังดึงลูกค้าจากแบรนด์อื่น 50% และสร้างตลาดใหม่ 50% พร้อมยอดขาย 300 ตันในปีแรก ก่อนเพิ่มเป้าเติบโตปีละ 100% ใน 3-5 ปี

นายศิริวุฒิ ธนศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แฮปปี้ เพ็ท (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จำหน่ายอาหารสุนัขและแมวระดับซูเปอร์พรีเมียมภายใต้แบรนด์ “HAPPY DOG” และ “HAPPY CAT” ซึ่งมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งในประเทศเยอรมนี เปิดเผยว่า บริษัทฯ จัดตั้งขึ้นด้วยการร่วมทุนระหว่างไทย 51% กับบริษัท อินเตอร์เควล จำกัด ประเทศเยอรมนี 49% มีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนรวม 20 ล้านบาทเพื่อทำตลาดอาหารสุนัขและแมวระดับซูเปอร์พรีเมียมในประเทศไทยด้วยการเน้นจุดเด่น 3 ด้าน คือ 1. ความเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพ Made in Germany 2. การดำเนินธุรกิจในลักษณะครอบครัวที่ให้การเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงเสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว 3. คุณภาพของอาหารที่ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติและไม่มีสารเคมีเจือปน

ตลาดสินค้าและบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 2.5-2.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 5 หมวด ได้แก่ 1. อาหารสัตว์ สัดส่วน 50% มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท 2. ธุรกิจบริการ เช่น โรงพยาบาล, สปา, ร้านตัดขน ฯลฯ สัดส่วน 27% มูลค่า 7.9 พันล้านบาท 3. อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เสื้อผ้า, เครื่องประดับ, ของเล่น ฯลฯ สัดส่วน 14% มูลค่า 3.3 พันล้านบาท 4. สแน็ก สัดส่วน 8% มูลค่า 1.88 พันล้านบาท และ 5. อาหารเสริม, วิตามิน, วัคซีน สัดส่วน 1% มูลค่า 420 ล้านบาท โดยคาดว่าในช่วง 3-5 ปีตลาดจะยังคงมีการเติบโตต่อเนื่อง 15-20%

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดมีการเติบโตต่อเนื่องเป็นเพราะพฤติกรรมคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมและไลฟ์สไตล์ เช่น การอยู่อาศัยในลักษณะครอบครัวเชิงเดี่ยว หรือการอาศัยเพียงลำพัง การดำรงสถานะโสดมากขึ้น การแต่งงานช้าและน้อยลง อัตราการมีบุตรลดลง ตลอดจนการมีผู้สูงวัยมากขึ้น ทำให้การเลี้ยงสุนัขและแมวได้รับความนิยมมากขึ้น โดยผู้เลี้ยงยังมีความใส่ใจในเรื่องสุขอนามัยสัตว์เลี้ยงมากขึ้นและมีกำลังซื้อสูงทำให้มีการใช้จ่ายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น

สำหรับตลาดอาหารสุนัขและแมวยังมีโอกาสขยายตัวอีกมาก เนื่องจากปัจจุบันผู้เลี้ยงในประเทศไทยมีการใช้อาหารสำเร็จรูปในสัดส่วนเพียง 28% เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา 100% ยุโรป 90% และญี่ปุ่น 75% โดยปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตอาหารสุนัขและแมวของประเทศไทยยังตามหลังสหรัฐอเมริกา 25 ปี ยุโรป และญี่ปุ่น 10 ปี โดยปัจจุบันเซกเมนต์อาหารสุนัขและแมวระดับซูเปอร์พรีเมียมในประเทศไทยมีผู้ผลิตและนำเข้ามากกว่า 30 แบรนด์ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ “HAPPY DOG” และ “HAPPY CAT” มีราคาต่ำกว่าประมาณ 15-20%

นายศิริวุฒิกล่าวอีกว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 300 ตัน และมีอัตราการเติบโตปีละ 100% ภายในช่วง 3-5 ปี เน้นจำหน่ายผ่านช่องทางร้านจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง (Pet Shop) เป็นหลัก โดยอนาคตมีแผนจะขยายช่องทางโรงพยาบาลสัตว์ และฟาร์มขยายพันธุ์สุนัขและแมว เบื้องต้นจะเริ่มกระจายสินค้าผ่าน 100 ร้านค้าทั่วประเทศตั้งแต่เดือน มิ.ย. 60 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมาย 600 ร้านค้าภายในสิ้นปี 2560 แบ่งสัดส่วนเป็นกรุงเทพฯ 70% ต่างจังหวัด 30% โดยในปี 2561 มีแผนขยายตลาดประเทศเพื่อนบ้าน คือ ลาว พม่า และกัมพูชา

“ในปีแรกบริษัทฯ ใช้งบประมาณการตลาด 5 ล้านบาทเพื่อสร้างการรับรู้และให้ข้อมูลด้านโภชนาการที่ถูกต้องผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียเป็นหลัก พร้อมมีการแจกสินค้าตัวอย่างขนาด 300 กรัม จำนวน 1 หมื่นชิ้นผ่านร้านจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง โดยแนวทางการทำตลาดจะเน้นกลยุทธ์เชิงอารมณ์ หรือ Emotional โดยใช้ Real Life Presenters ในการสื่อสารแบรนด์ถ่ายทอดผ่านความสัมพันธ์ในชีวิตจริงระหว่างเจ้าของที่มีต่อสัตว์เลี้ยง โดยคาดว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าได้จากการสร้างตลาดใหม่ 50% และการจูงใจลูกค้าจากแบรนด์อื่นให้เปลี่ยนมาใช้แทน 50%”



กำลังโหลดความคิดเห็น