ผู้จัดการรายวัน 360 - ตลาดเตาแก๊สรับอานิสงส์รายการโทรทัศน์ทำอาหารบูม ส่งผลตลาดเริ่ม 2 พันล้านบาทเริ่มโต 3-5% ในรอบ 10 ปี “ลัคกี้เฟลม” เร่งเดินเกมรุกตลาด พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เจาะเซกเมนต์งาน Built-In โครงการ พร้อมหาพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำจากยุโรปทำตลาดพรีเมียมในประเทศ ตั้งเป้าขยายตลาดส่งออก กรุยรายได้ 1-1.3 พันล้านบาทภายใน 3-5 ปี
นายเชาว์เลิศ ลีลาศวัฒนกุล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ลัคกี้เฟลม จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เตาแก๊สและอุปกรณ์ภายในครัวเรือนภายใต้แบรนด์ “Lucky Flame” (ลัคกี้เฟลม) เปิดเผยว่า ตลาดผลิตภัณฑ์เตาแก๊สในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 2 พันล้านบาท โดยในช่วง 10 ปีก่อนหน้านี้ถือว่าอยู่ในภาวะทรงตัวมาตลอด แต่เพิ่งจะกลับมาเริ่มเติบโตประมาณ 3-5% เมื่อประมาณ 1-2 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 5 ปี เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากรายการโทรทัศน์ประเภททำอาหารซึ่งมีมากมายหลายรายการ
ในช่วงที่ผ่านมา “ลัคกี้เฟลม” มีการปรับตัวเพื่อรับกับสถานการณ์ทางการตลาดมาโดยตลอด ด้วยการขยายไลน์การผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องปีละประมาณ 5-10 เอสเคยู จนปัจจุบันมีสินค้ามากกว่า 100 เอสเคยูใน 6 หมวด ได้แก่ เตาแก๊ส, เตาไฟฟ้า, เครื่องดูดควัน, อ่างซิงค์ล้างจาน, หม้อหุงข้าว ละเตาแก๊สขนาดใหญ่สำหรับร้านอาหาร, และอุปกรณ์ภายในครัวเรือนอื่นๆ โดยปัจจุบันดำเนินการผลิตเองประมาณ 90% ส่วนที่เหลือ 10% เป็นการจ้างการผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่กำลังการผลิตปัจจุบันมีประมาณ 3.5 แสนชิ้นต่อปีจากกำลังการผลิตสูงสุด 5 แสนชิ้นต่อปี ล่าสุดจึงมีการปรับปรุงโรงงานและคลังสินค้าด้วยงบประมาณ 40-50 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2560
ในปี 2559 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายประมาณ 750 ล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 5% โดยปัจจุบันมีช่องทางจัดจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรดประมาณ 40-50% และเทรดิชันนัลเทรด 50-60% โดยมีตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศประมาณ 1.2 พันราย ส่งผลให้มีรายได้หลักจากต่างจังหวัด 70% กรุงเทพฯ และปริมณฑล 30% ขณะที่มีโชว์รูม 1 แห่งที่เซ็นทรัล บางนา โดยมีแผนขยายโชว์รูมเพิ่มในห้างสรรพสินค้าให้ครบ 4 มุมเมืองในอนาคตอันใกล้
นายเชาว์เลิศกล่าวอีกว่า บริษัทฯ ถือเป็นผู้นำตลาดเตาแก๊สทั่วไปด้วยส่วนแบ่งประมาณ 30-40% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 จึงมีแผนสร้างรายได้เพิ่มด้วยการเปิดตลาดในเซกเมนต์ใหม่ คือ เตาแก๊สสำหรับงานโครงการ หรือ Built-In พร้อมกับมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่หลายชนิด เช่น เตาแก๊สแบบฝังที่สามารถตั้งเวลาตัดแก๊สได้สำหรับครัวสมัยใหม่, เครื่องดูดควันดีไซน์ยุโรป, เตาไฟฟ้าแบบสำหรับคอนโดมิเนียม, เตาแม่เหล็กไฟฟ้าแบบเคลื่อนย้ายสะดวก, เตาแม่เหล็กไฟฟ้าสำหรับร้านชาบู รวมถึงเพิ่มกลุ่มของอ่างซิงค์ล้างจานอีกหลายขนาด
“ปัจจุบันเตาแก๊สสำหรับงานโครงการยังมีมูลค่าเพียง 50-60 ล้านบาท แต่คาดว่าจะมีการเติบโตจนมีสัดส่วนถึง 30% ของตลาดรวมภายใน 3 ปี เนื่องจากการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์และคอนโดมิเนียม โดยเบื้องต้นจะเริ่มทำตลาดโครงการหมู่บ้านจัดสรรก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นในปี 2560 จะเริ่มทำตลาดคอนโดมิเนียมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์มากขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากเตาแก๊สทั่วไปและเตาแก๊สสำหรับงานโครงการในสัดส่วนเท่ากันคือ 50:50”
บริษัทฯ กำหนดงบประมาณการตลาดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 ประมาณ 25 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 2 เท่า แบ่งเป็นการใช้ในสื่อหลักทั่วไป 70-80% โดยจะมีการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาโทรทัศน์ชุดใหม่ในเร็วๆ นี้ ส่วนอีก 20-30% จะใช้ในสื่อออนไลน์ พร้อมมีแผนพัฒนาช่องทางจำหน่ายผ่านทางชอปปิ้งออนไลน์ของบริษัทฯ จากปัจจุบันที่เป็นพันธมิตรกับ www.lazada.co.th
นายเชาว์เลิศกล่าวด้วยว่า เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก บริษัทฯ จึงพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้มากที่สุด โดยเน้นกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มตลาดทั่วไปเนื่องจาก “ลัคกี้เฟลม” เป็นแบรนด์เก่าแก่ที่มีอายุยาวนานถึง 40 ปีจนเป็นที่ยอมรับของตลาดในเรื่องคุณภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนานนับ 10 ปี นอกจากนั้นยังจะเริ่มขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุประมาณ 30-35 ปี หรือเป็นผู้ที่เพิ่งซื้อบ้านหลังแรกอาศัยอยู่ในเมืองซึ่งมีกำลังซื้อเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์ควบคู่กับคุณภาพ
บริษัทฯ ยังมีแผนขยายตลาดในประเทศด้วยการนำเข้าผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมแบรนด์ใหม่จากกลุ่มประเทศยุโรป โดยกำลังพิจารณาและตัดสินใจว่าจะเลือกจากประเทศใดระหว่างอิตาลี เยอรมนี และตุรกี ขณะเดียวกันยังมีแผนเปิดตลาดส่งออกใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 1-2 ประเทศ โดยจะเน้นกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งมีอัตราการเติบโตมากกว่า 30%
“ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 15% เติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15% โดยมีเป้าหมาย 5 ปี ในการเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 30% และจำหน่ายในประเทศ 70% พร้อมยอดขายรวมประมาณ 1.2-1.3 พันล้านบาท หรืออย่างน้อย 1 พันล้านบาทใน 3 ปี” นายเชาว์เลิศกล่าวในที่สุด