PwC เผยเทรนด์นวัตกรรมดิจิตอลเพื่อสุขภาพรูปแบบใหม่ หรือ “ดิจิตอลเฮลท์” (Digital Health) กำลังมาแรง เหตุช่วยยกระดับบริการด้านสุขภาพ ลดเวลาในการเข้าถึงข้อมูล แถมต้นทุนต่ำกว่า ชี้ผู้ให้บริการสุขภาพ-โรงพยาบาลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มหันมาใช้ดิจิตอลเฮลท์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ป่วย-ชนชั้นกลางที่ใส่ใจสุขภาพ แนะหากไทยสามารถนำดิจิตอลเฮลท์เข้ามาใช้อย่างเต็มรูปแบบจะช่วยยกระดับบริการทางการแพทย์ของประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
น.ส.วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท PwC Consulting (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงรายงาน The Digital Healthcare Leap ที่ทำการศึกษาการให้บริการด้านสุขภาพในตลาดเกิดใหม่ว่า ปัจจุบันธุรกิจบริการด้านสุขภาพเริ่มตื่นตัวในการนำระบบดิจิตอลเพื่อสุขภาพรูปแบบใหม่ (New Digital Health Models) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลและการให้บริการที่ดีขึ้นแก่ลูกค้า เพราะทั้งแพทย์และผู้ป่วยสามารถเข้าถึงระบบการดูแลสุขภาพได้ง่ายขึ้น มีความปลอดภัยสูงและมั่นใจได้ถึงคุณภาพ
“ดิจิตอลเฮลท์” กำลังเข้ามามีบทบาทในการยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพในภูมิภาคนี้ โดยถือเป็นวิวัฒนาการที่สำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วย หรือประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงบริการ สื่อสารกับสถานพยาบาล รับส่งข้อมูลด้านสุขภาพ และใช้เป็นแหล่งข้อมูลสุขภาพเบื้องต้น อีกทั้งยังมีต้นทุนต่ำกว่าระบบบริการสุขภาพแบบดั้งเดิม ทำให้คาดว่ากระแสของการใช้นวัตกรรมเหล่านี้จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมธุรกิจบริการด้านสุขภาพในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยตอบโจทย์ชนชั้นกลางที่หันมาใส่ใจสุขภาพและอาศัยอยู่ในตลาดเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลได้อีกด้วย
จากข้อมูลของ PwC พบว่า ในปี 2573 จะมีชนชั้นกลางมากถึง 2 ใน 3 ของโลกอาศัยอยู่ในทวีปเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ ประชากรมากกว่า 50% ของตลาดเกิดใหม่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท
สำหรับระบบดิจิตอลเพื่อสุขภาพรูปแบบใหม่นั้นแตกต่างจากบริการด้านสุขภาพที่อาศัยกระดาษเป็นหลัก (Paper-Based Health Solutions) และแบบดั้งเดิม (Traditional Model) ที่นิยมใช้กันในประเทศที่พัฒนาแล้ว โดย “ดิจิตอลเฮลท์” มุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยด้านสุขภาพ เพิ่มการสื่อสารสองทางระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย มีความคล่องตัวในการเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ ทุกเวลาผ่านอุปกรณ์ต่างๆ และสร้างความไว้วางใจในตัวผู้ให้บริการ
ทั้งนี้ การใช้ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์บนคลาวด์ (Cloud-Based Electronic Health Record) ระบบการบันทึกข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์แบบเปิด (Open Source Medical Record System) อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ (Wearable Device) และแอปพลิเคชันที่นำโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์มาพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพ (mHealth Application) ล้วนแล้วแต่เป็นตัวอย่างของนวัตกรรมดิจิตอลเพื่อสุขภาพรูปแบบใหม่ที่ผู้ประกอบการและสถานพยาบาลในปัจจุบันหันมาลงทุนและร่วมมือกับบริษัทเกิดใหม่ขนาดเล็กที่สร้างแพลตฟอร์มเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับตรวจจับกิจกรรมและข้อมูลสุขภาพ รวมไปถึงการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่ใช้ระบบสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในอดีต
ดิจิตอลเฮลท์พัฒนาระบบการรักษาพยาบาลอย่างยั่งยืน
ด้าน นายเดวิด แมคเคียริ่ง หุ้นส่วน PwC South East Asia Consulting กล่าวเสริมว่า ดิจิตอลเฮลท์ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้กับผู้ประกอบการสุขภาพและสถานพยาบาลเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วย โดยมองว่าดิจิตอลเฮลท์จะสามารถช่วยพัฒนาระบบการรักษาพยาบาลอย่างยั่งยืนและช่วยยกระดับมาตรฐานการรักษาในตลาดเกิดใหม่ให้แซงหน้าตลาดที่พัฒนาแล้วได้ เพราะตลาดเหล่านี้ส่วนใหญ่ลงทุนไปกับการติดตั้งอุปกรณ์ราคาแพง รวมถึงต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการอบรม และการซ่อมบำรุง เป็นต้น
รายงานของ PwC ระบุด้วยว่า ต้นทุนโดยเฉลี่ยของการใช้ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์แบบดั้งเดิมของโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกาสูงถึง 1.45 หมื่นเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.05 แสนบาทต่อเตียง คิดเป็นต้นทุนการดำเนินงานสูงถึง 2.7 พันเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 9.4 หมื่นบาทต่อเตียงต่อปี
นายเดวิด ไวจีแรตนี หัวหน้า PwC Growth Markets Centre กล่าวว่า “ดิจิตอลเฮลท์” ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังช่วยลดภาระในการฝึกอบรมหมอและพยาบาลใหม่ ช่วยลดปริมาณเตียงคนไข้และจำนวนสถานพยาบาล ทำให้ภาครัฐสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ และเปิดโอกาสให้รัฐสามารถนำเงินงบประมาณไปพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ ได้
แนวโน้มการใช้จ่ายเพื่อดูแลสุขภาพสูงขึ้น
น.ส.วิไลพรกล่าวว่า การขยายตัวของชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อและรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ประชาชนในภูมิภาคหันมาใส่ใจในการรักษาสุขภาพมากขึ้น โดยต้องการได้รับการรักษาและเข้าถึงบริการที่ดีกว่า ผ่านเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ๆ ที่ช่วยในการเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพที่ดีขึ้น
จากข้อมูลของ Business Monitor International (BMI) คาดว่า อัตราการเติบโตเฉลี่ยของการใช้จ่ายด้านสุขภาพของตลาดเกิดใหม่ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2558-2563) จะอยู่ที่ 9% เนื่องจากรายได้ของประชากรสูงขึ้น
ปัจจุบันหลายๆ ประเทศในตลาดเกิดใหม่ได้มีการนำนวัตกรรมด้านดิจิตอลเฮลท์มาใช้กันมากขึ้น เช่น ในฟิลิปปินส์มีการนำระบบการบันทึกข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์แบบเปิดเข้ามาใช้ในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐที่เรียกว่า CHITS (Community Health Information Tracking System) ขณะที่โรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนในฟิลิปปินส์และมาเลเซียเริ่มมีการย้ายระบบการจัดเก็บข้อมูลมาไว้บนคลาวด์อย่างแพร่หลายเพื่อรองรับการจัดเก็บฐานข้อมูลออนไลน์ขนาดใหญ่
นอกจากนี้ ยังมีการนำระบบดิจิตอลเฮลท์มาประยุกต์ใช้ในการให้บริการในรูปแบบอื่นๆ อีก เช่น การให้บริการผ่านแอปพลิเคชันด้วยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ รวมไปถึงการพบแพทย์แบบออนไลน์แทนการไปหาหมอแบบปกติ สำหรับการยกระดับการสาธารณสุขของชุมชนห่างไกล และการสั่งยาผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Prescription) เป็นต้น
ความท้าทายของผู้ให้บริการยุคดิจิตอล
ความท้าทายของสถานพยาบาลและผู้ให้บริการด้านสุขภาพในระยะต่อไปคือ การพัฒนาขีดความสามารถในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้และเชื่อมต่อกับระบบเดิมในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านสุขภาพในเชิงลึกและให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วย โดยยึดหลักของการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ป่วยเป็นหัวใจของการบริการ
“หากผู้ประกอบการละเลยเรื่องนี้ก็มีความเสี่ยงที่ลูกค้าจะหนีไปใช้บริการเจ้าอื่นแทนได้ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยในอินโดนีเซียที่เดินทางมารับการรักษาในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและไทยเพิ่มขึ้นในแต่ละปี เนื่องจากอาจได้รับบริการที่ดีกว่า อย่างไรก็ดี เรามองว่าการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยังขาดความพร้อม และจำนวนของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศในแถบนี้” น.ส.วิไลพรกล่าว
การดำเนินชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนไปจากเดิมทำให้อัตราการเกิดของกลุ่มโรคเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases) เช่น เบาหวาน (Diabetes) โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular disease) และมะเร็งเพิ่มสูงขึ้น โดยรายงานระบุว่า 75% ของอัตราการเสียชีวิตของประชากรในตลาดเกิดใหม่เกิดจากสาเหตุของการมีโรคเรื้อรัง
PwC ยังคาดการณ์ว่า ในปี 2573 ไทยมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานสูงถึง 4.1% ของประชากรทั้งหมด โดยเพิ่มขึ้นจาก 2.3% ในปี 2555 ขณะที่ภายในปี 2593 คาดว่า 30% ของประชากรไทยจะมีอายุเฉลี่ยสูงกว่า 65 ปี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะส่งผลให้ตลาด “ดิจิตอลเฮลท์” ได้รับความนิยมมากขึ้น
สำหรับประเทศไทย “ดิจิตอลเฮลท์” จะช่วยให้ผู้ประกอบการด้านบริการสุขภาพและสถานพยาบาลทำงานได้ง่ายขึ้น เนื่องจากสามารถเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วยได้รวดเร็วและสามารถคาดการณ์แนวโน้มทางด้านสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้นด้วยต้นทุนที่ไม่สูงมาก ซึ่งปัจจุบันผู้ให้บริการภาคเอกชนของไทยหลายรายเริ่มนำนวัตกรรมดิจิตอลเพื่อสุขภาพรูปแบบใหม่นี้เข้ามาใช้ในการให้บริการบ้างแล้ว ขณะที่ภาครัฐเองก็อยู่ระหว่างการศึกษาการนำเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพ (eHealth) มาให้บริการแก่ประชาชน
“นอกจากดิจิตอลเฮลท์จะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ธุรกิจบริการด้านสุขภาพแล้ว ยังช่วยยกระดับมาตรฐานบริการสุขภาพของไทยในระยะยาว โดยเรามองว่าธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องสามารถประยุกต์เทคโนโลยีเพื่อร่นระยะเวลาในการเข้าถึงข้อมูล ลดช่องว่างระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย ที่สำคัญคือต้องสร้างความเชื่อมั่นและส่งมอบบริการที่ดีโดยยึดความต้องการของคนไข้เป็นหลัก”