xs
xsm
sm
md
lg

น่าตระหนก! พบบริษัทจดทะเบียนไทยร่วม 40% ตกเป็นเหยื่อทุจริตองค์กร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายวรพงษ์ สุธานนท์ หุ้นส่วนสายงาน Forensic services บริษัท PwC Consulting (ประเทศไทย)
PwC เผยผลสำรวจพบบริษัทจดทะเบียนไทยเกือบ 40% ตกเป็นเหยื่อการทุจริตเรื้อรัง แต่อัตราการเกิดอาชญากรรมเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้น เหลือ 26% หลังภาครัฐ เอกชนตื่นตัว พร้อมออกมาตรการป้องกันรับสินบนคอร์รัปชัน และต่อต้านการทุจริตในองค์กรอย่างจริงจัง ย้ำ “Cybercrime” ยังพุ่ง หลังธุรกิจไทยเข้าสู่ยุค The Internet of Things

จากรายงานผลสำรวจอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ PwC’s 2016 Global Economic Crime Survey : Economic crime in Thailand ประจำปี 2559 ซึ่ง PwC Consulting (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดทำทุกๆ 2 ปี พบว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่ประเทศไทยมีผู้ตอบแบบสอบถามสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 261 ราย จากครั้งก่อนมีเพียง 76 ราย โดยกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามมาจากองค์กรธุรกิจหลายประเภท ทั้งบริษัทจดทะเบียน บริษัทเอกชน และหน่วยงานภาครัฐ

นายวรพงษ์ สุธานนท์ หุ้นส่วนสายงาน Forensic services บริษัท PwC Consulting (ประเทศไทย) หนึ่งในเครือข่ายบริษัทผู้ให้บริการด้านตรวจสอบบัญชี บริการให้คำปรึกษาด้านภาษี และบริการให้คำปรึกษาทางธุรกิจรายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า ผลสำรวจในปีนี้มีการตรวจพบการทุจริตในบริษัทจดทะเบียนไทยสูงกว่าครั้งก่อน โดยผลสำรวจพบว่า 39% ของบริษัทจดทะเบียนไทย (Listed Companies) ยอมรับว่า มีการตรวจพบการทุจริตในปีนี้ ขณะที่มีบริษัทเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียน (Private Companies) เพียง 16% ที่มีการตรวจพบทุจริต เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 41% และ 30% ตามลำดับ

สำหรับปัญหาอาชญากรรมเศรษฐกิจของไทยนั้นมีสัญญาณดีขึ้น โดยอัตราการทุจริต (Fraud Rate) อยู่ที่ 26% ลดลงจากผลสำรวจครั้งก่อนที่ 37% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐ และภาคเอกชนเริ่มตื่นตัวร่วมกันป้องกัน ตรวจสอบ และปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจทุกรูปแบบอย่างจริงจัง อย่างไรก็ดี ยังมีหลายองค์กรเช่นกันที่ไม่มั่นใจว่าระบบการป้องกันของตนมีประสิทธิภาพเพียงพอในการตรวจจับการกระทำความผิดจนอาจเป็นที่มาของอัตราทุจริตที่ลดต่ำลงในปีนี้

จากผลสำรวจยังพบว่า ประเภทของการทุจริตที่ตรวจพบมากที่สุด 3 อันดับแรกของไทย ได้แก่ การยักยอกสินทรัพย์ (Asset Misappropriation) 78% ตามด้วยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Cybercrime) 24% และการรับสินบนและคอร์รัปชัน (Bribery and Corruption) 19%

“การยักยอกสินทรัพย์ยังคงเป็นประเภทของการทุจริตที่พบมากที่สุดในไทย โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกกว่า 10% ซึ่งองค์กรส่วนใหญ่ยังคงมีความกังวลในเรื่องนี้อย่างมาก ขณะที่ผู้ที่กระทำการทุจริตส่วนใหญ่เกือบ 80% ล้วนเป็นพนักงานในองค์กรทั้งสิ้น โดยในปีนี้เราพบว่าพนักงานระดับล่างประกอบทุจริตมากที่สุด ต่างจากปีก่อนที่ตรวจพบมากในหมู่พนักงานระดับผู้จัดการขึ้นไป” นายวรพงษ์ กล่าว

ภาคเอกชนไทยจำเป็นต้องตระหนักถึงการจัดหามาตรการ และระบบการป้องกันการทุจริตที่แข็งแกร่งมากขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญต่อการสื่อสารภายในองค์กร และการสร้างค่านิยมภายในองค์กร ว่า การทุจริตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ โดยพนักงานถือเป็นตัวแปรสำคัญในการบริหารความเสี่ยงด้านการทุจริต เพราะนอกจากอาชญากรรมทางเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ และภาคการเงินแล้ว ยังส่งผลลบต่อภาพลักษณ์ขององค์กร ความเชื่อมั่นของพนักงาน และความสัมพันธ์กับหน่วยงานกำกับดูแลด้านกฎระเบียบอีกด้วย

“ส่วนตัวมองว่าหลายองค์กรยังขาดนโยบาย และระบบการจัดการที่มีมาตรฐาน และเป็นรูปธรรม อีกทั้งพนักงานส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่า การรายงาน หรือร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในองค์กรจะต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน หรือรอจนมีข้อมูลครบถ้วนก่อนจึงจะแจ้งได้ แต่ที่จริงแล้วพนักงานสามารถแจ้งเบาะแสได้ในทันทีที่พบความผิดปกติ โดยบริษัทจะเป็นผู้นำข้อมูลดังกล่าวไปสืบหาข้อเท็จจริงในขั้นต่อไป ยิ่งแจ้งเร็วฝ่ายที่กำกับดูแลก็จะยิ่งหาข้อมูล และหาทางรับมือต่อการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น” นายวรพงษ์ กล่าว

Cybercrime พุ่ง หลังธุรกิจมุ่งสู่ The Internet of Things (IoT)

จากผลสำรวจในปีนี้พบว่า อัตราการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Cybercrime) ทั้งโลก และประเทศไทย จัดเป็นภัยร้ายแรงทางเศรษฐกิจอันดับที่ 2 โดยเขยิบจากอันดับที่ 4 ในการสำรวจคราวก่อน ขณะที่ทั่วโลกมีอัตราการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์อยู่ที่ 32% ขณะที่ไทยอยู่ที่ 24% เพิ่มขึ้นจากการสำรวจเมื่อ 2 ปีก่อนที่ 18%

“เราเห็นเทรนด์การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของภัยคุกคามไซเบอร์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้ก็เช่นกัน ผู้ตอบแบบสอบถามไทยถึง 22% ยอมรับว่า เคยตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งเรามองว่า อาจมาจากการที่องค์กรหันมาใช้รูปแบบการทำธุรกิจผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หรือคอมพิวเตอร์อัจฉริยะเข้ากับสิ่งต่างๆ รอบตัวมากยิ่งขึ้น จึงส่งผลให้บริษัทมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”

นายวรพงษ์ กล่าวเสริมว่า การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ขยายวงกว้างมากขึ้นทำให้องค์กรต่างๆ เพิ่มช่องทางให้พนักงานสามารถเชื่อมต่อ และเข้าถึงระบบปฏิบัติการของบริษัทผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้จากทุกที่แม้ไม่ได้อยู่ในบริษัทซึ่งอาจก่อให้เกิดช่องโหว่ให้อาชญากรทางคอมพิวเตอร์สามารถเจาะเข้าสู่ระบบของบริษัทได้จากทั่วโลกโดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในประเทศไทย

ผลสำรวจยังระบุว่า มีผู้บริหารเกือบครึ่ง (49%) ที่ประเมินมูลค่าความเสียหายทางการเงิน (Financial Damage) จากการตกเป็นเหยื่อภัยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ไว้ราว 1 แสนเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3.5 ล้านบาท) ขณะที่ 16% ประเมินมูลค่าความเสียหายอยู่ระหว่าง 1 แสนเหรียญสหรัฐ-1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3.5-35 ล้านบาท)

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ตอบแบบสอบถามยังมองว่า การจารกรรมข้อมูลที่ระบุความเป็นส่วนตัว (Personal Identity Information) ความเสียหายด้านชื่อเสียง (Reputational Damage) และการสูญเสียข้อมูลที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Loss) ถือเป็นภัยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่สร้างผลกระทบร้ายแรงมากที่สุด 3 อันดับแรก

“สิ่งที่เรากังวลในประเด็นนี้คือ ความพร้อมของผู้บริหารในการรับมือต่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ บ่อยครั้งเราจะพบว่า บริษัทยังขาดมาตรการ หรือแนวทางการแก้ไขในเชิงรุก โดยผลสำรวจพบว่า มีคณะกรรมการ หรือบอร์ดบริหารน้อยกว่าครึ่งที่มีการตรวจสอบข้อมูลถึงสถานะ และความพร้อมขององค์กรในการรับมือต่อไซเบอร์คราม ขณะเดียวกัน มีองค์กรไทยเพียง 26% ที่มีการวางแผนรับมือในเรื่องนี้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งอัตราดังกล่าวถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 37%” นายวรพงษ์ กล่าว

สินบน-คอร์รัปชันหด หลังรัฐ เอกชนเข้ม

การรับสินบน และคอร์รัปชันถือเป็นภัยร้ายแรงทางเศรษฐกิจที่พบมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจระบุว่า อัตราการรับสินบน และคอร์รัปชันปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ 19% เมื่อเทียบกับผลสำรวจครั้งก่อนที่ 39%

“ปัญหาการรับสินบน และคอร์รัปชันของไทยที่ปรับตัวลดลงถือเป็นสัญญาณที่ดี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ภาครัฐออกมากระตุ้นให้เกิดการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ขณะที่เอกชน และองค์กรอิสระเองต่างก็ตื่นตัวในการสร้างเครือข่ายต่อต้านทุจริต อย่างไรก็ดี ปัญหาดังกล่าวถือเป็นปัญหาที่อยู่คู่สังคมไทยมาช้านาน คงไม่สามารถขจัดให้หมดสิ้นไปได้ในชั่วข้ามคืน” นายวรพงษ์ กล่าว

ทั้งนี้ รัฐบาลประกาศว่าภายในปี 2559 จะเริ่มเห็นกฎหมาย และข้อบังคับต่างๆ ที่ใช้ในการต่อต้านทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ขณะเดียวกัน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยังมีมติเอกฉันท์รับหลักการร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวแล้ว ประกอบกับภาคเอกชนยังได้จัดตั้ง “โครงการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต” (Thailand’s Private Sector Collective Action against Corruption : CAC) เมื่อปี 2553 ด้วยแนวร่วมภาคเอกชนในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันในทุกรูปแบบ

ผลสำรวจยังเปิดเผยว่า 15% ของผู้ตอบแบบสอบถามเคยถูกถามให้จ่ายสินบนในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวปรับลดลงจากผลสำรวจครั้งก่อนที่ 28% ขณะเดียวกัน มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 9% ในปีนี้ที่ระบุว่า ตนสูญเสียโอกาสทางธุรกิจให้แก่คู่แข่งที่เชื่อว่ามีการจ่ายสินบนซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงจากผลสำรวจครั้งก่อนที่ 24%

แม้อัตราการรับสิน และคอร์รัปชันจะปรับตัวลดลง แต่ปัญหาดังกล่าวยังคงเป็นปัญหาใหญ่ และเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการพัฒนาประเทศในระยะยาว อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ปัญหาการทุจริต และคอร์รัปชันจึงถือเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้ ผลสำรวจระบุว่า 25% ของผู้ตอบแบบสอบถามยังคงเชื่อว่าบริษัทมีความเสี่ยงที่จะเกิดการรับสินบน และคอร์รัปชันในอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะที่ 23% ไม่แน่ใจว่าจะเกิดการทุจริตรับสินบน และคอร์รัปชันขึ้นในองค์กรหรือไม่ในระยะข้างหน้า

ผลสำรวจครั้งนี้จึงสะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงความสำคัญในการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตต่อไป!



กำลังโหลดความคิดเห็น