“อนันตพร” เร่งเครื่องแผนอนุรักษ์พลังงาน พพ.จับมือกองทุนอนุรักษ์ฯ ควักงบ 750 ล้านบาทหนุนโรงพยาบาลรัฐ 71 แห่ง ระยะแรกเปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน คาดสามารถประหยัดพลังงานคิดเป็นมูลค่าถึง 420 ล้านบาท ระยะเวลาคืนทุน 2.4 ปี โครงการสนับสนุนการลงทุนการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ใน
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน กล่าวเปิดโครงการสนับสนุนการลงทุนการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ในโรงพยาบาลของรัฐ (Matching Fund) ว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ร่วมกับกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรงบประมาณ 750 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลของรัฐ 71 แห่งนำร่องเข้าโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับอาคารโรงพยาบาล คาดสามารถประหยัดพลังงานคิดเป็นมูลค่ากว่า 420 ล้านบาท ระยะเวลาคืนทุนเฉลี่ย 2.4 ปี และไม่เกิน 7 ปี ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 55,235 ตันต่อปี
“โรงพยาบาลของรัฐเป็นอาคารกลุ่มที่ใช้พลังงานสูง เนื่องจากเปิดใช้งาน 24 ชั่วโมง และส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานยาวนาน อุปกรณ์จึงมีประสิทธิภาพต่ำและสิ้นเปลืองพลังงาน การลงทุนปรับปรุงมีความคุ้มค่ามาก โดยมีโรงพยาบาลของรัฐให้บริการประชาชนอยู่ถึง 1,027 แห่งทั่วประเทศ” รมว.พลังงานกล่าว
สำหรับวิธีให้การสนับสนุน โครงการฯ จะพิจารณาสนับสนุนมาตรการอนุรักษ์พลังงานที่มีระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 7 ปี ในอัตรา 70% ของเงินลงทุน โรงพยาบาลสมทบงบประมาณ 30% นอกจากนี้ ได้สนับสนุนค่าจ้างที่ปรึกษาออกแบบและควบคุมงานให้กับโรงพยาบาลในอัตรา 5% ของเงินลงทุน เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลทางด้านเทคนิควิศวกรรมด้วย
ทั้งนี้ พพ.ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เป็นที่ปรึกษาบริหารโครงการ โดยเปิดรับสมัครโรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง มีโรงพยาบาลทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมถึง 138 แห่ง วงเงินลงทุนปรับปรุงรวม 2,047 ล้านบาท มูลค่าผลประหยัดพลังงาน 640 ล้านบาทต่อปี และขอรับการสนับสนุนสูงถึง 1,448 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่างบประมาณของโครงการที่ตั้งไว้
สำหรับระยะแรก มีโรงพยาบาลได้รับการสนับสนุนจำนวน 71 แห่ง โดยครอบคลุมโรงพยาบาลทุกขนาด เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลประจำจังหวัดและอำเภอ จากทั่วประเทศ โดยมีมาตรการที่โรงพยาบาลของรัฐดำเนินการปรับปรุงที่มีสัดส่วนเงินลงทุนสูงสุด คือมาตรการเปลี่ยนเครื่องทำน้ำเย็นประสิทธิภาพสูง คิดเป็น 36% ของเงินลงทุนทั้งหมด รองลงมาคือมาตรการเปลี่ยนไปใช้หลอดไฟแอลอีดี 27% มาตรการเปลี่ยนหม้อไอน้ำประสิทธิภาพสูง 10% และมาตรการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศเป็นแบบอินเวอร์เตอร์ 9% ตามลำดับ
