xs
xsm
sm
md
lg

“ซีเอ็มจี”โละแบรนด์ไม่ทำเงิน “คาสิโอ”เลิกเครื่องคิดเลขเบสิค

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ไท จิราธิวัฒน์
ผู้จัดการรายวัน360- “ซีเอ็มจี” ปรับทิศ โละแบรนด์เล็กไม่ทำเงิน โฟกัสเฉพาะแบรนด์หลัก พร้อมเพิ่มพอร์ตโฟลิโอ ลุ้นปี59นี้โต 10-15% ขณะที่ตลาดเครื่องคิดเลขคาสิโอ ทยอยเลิกโมเดลเบสิค จ่อเพิ่มกำลังผลิต

นายไท จิราธิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป จำกัด หรือซีเอ็มจี บริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 ปีนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างการจัดโครงสร้างสินค้าใหม่ โดยจะทยอยลดจำนวนแบรนด์สินค้าที่ทำตลาดลงโดยเฉพาะแบรนด์ที่ยอดขายน้อย และเพิ่มแบรนด์สินค้าใหม่ที่มีศักยภาพเข้ามาทำตลาดเช่นกัน ซึ่งจากเดิมมีประมาณ 100 กว่าแบรนด์ ขณะนี้ได้ปรับลดลงมาเหลือ 70 กว่าแบรนด์เมื่อต้นปี2559นี้ และคาดว่าสิ้นปีนี้จะลดเหลือ 50 กว่าแบรนด์ และต่อเนื่องถึงปีหน้าอีก

ปัจจุบันซีเอ็มจีมีสินค้าที่หลายกลุ่มแต่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของนายไทนั้นมี 3 กลุ่มรวม 35 แบรนด์ และทำรายได้ในสัดส่วน 50% ของรายได้รวมซีเอ็มจี ประกอบด้วย 1.กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องดนตรี เช่น คาสิโอ คาวาย ทานิต้า เป็นต้น เติบโตประมาณ 11% 2.กลุ่มไลเซ่นส์ ทั้งผลิตและจัดจำหน่าย เช่น ยีนส์ลี ยีนส์แรงเลอร์ รองเท้าฮัชปั๊ปปี้ เป็นต้น เติบโตประมาณ 18% และ 3. กลุ่มสินค้าลักซ์ชัวรี่ เติบโตไม่มากนัก โดยแบรนด์สินค้าที่มียอดขายมากกว่า 150 – 200 ล้านบาทต่อปี จะเป็นแบรนด์ที่ทำตลาดต่อ

ขณะที่แบรนด์สินค้าที่มียอดขายสูงสุด 14 อันดับแรกนั้นมักจะเป็นแบรนด์ที่ยอดขายมากกว่า 500 ล้านบาทต่อปีขึ้นไปต่อแบรนด์ก็ทำตลาดต่อแน่นอน ซึ่งแบรนด์หลักๆก็เช่น คาสิโอทั้งเครื่องคิดเลข นาฬิกาและเครื่องดนตรี ส่วนแบรนด์เล็กแบรนด์น้อยที่ยอดขายไม่มาก ก็จะทยอยยกเลิกทำตลาดไป

ทั้งนี้มี 3 แนวทางที่จะเลิกทำตลาดคือ 1.โอนให้บริษัทฯในเครือเซ็นทรัลรับช่วงดำเนินการต่อ 2. เมื่อครบสัญญาก็จะไม่ต่อสัญญาอีก และ 3. หาผู้สนใจที่จะเข้ามารับช่วงลิขสิทธ์ต่อสำหรับแบรนด์สินค้าที่ยังไม่หมดสัญญา

“ก่อนหน้านั้นเราคิดว่าการมีสินค้าหลายแบรนด์จะส่งผลดี แต่ว่าเมื่อมีมากเกินไปมันก็จะทำให้การบริหารจัดการยุ่งยาก ทั้งสต๊อก การทำตลาด บุคลากร ขณะที่บางแบรนด์เองยอดขายก็ไม่ได้มาก เราเลยมีนโยบายที่จะบริหารจัดการแบรนด์ใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาก็ยกเลิกไปหลายแบรนด์แล้ว แต่ก็มีแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดต่อทดแทนเช่นกัน เพื่อทำให้พอร์ตโฟลิโอสินค้าของซีเอ็มจีมีความาแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายไท กล่าว

สินค้าแบรนด์ใหม่ๆที่เพิ่งได้ทำตลาด เช่น แว่นตากันแดดลักซอติก้าจากอิตาลี ซึ่งมีหลายแบรนด์ในเครือ โดยร่วมทุนกันทำตลาดในไทยในลักษณะรีเทลชอป ขณะนี้มี 25 จุดขายแล้ว ซึ่งการทำแบบจอยท์เวนเจอร์นี้มีข้อดีตรงที่ ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายมารวมกัน คือ เรามีทำเล มีตลาด เขามีสินค้า มีแบรนด์ และยังมีนโยบายที่จะบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี เช่น ยีนส์ลีที่มีโอกาสไปทำตลาด

นายไทกล่าวต่อถึงการทำตลาดเครื่องคิดเลขแบรนด์คาสิโอ ซึ่งซีเอ็มจีทำตลาดมานานกว่า 40 ปีแล้วว่า บริษัฯได้ปรับกลยุทธ์ทำตลาดเครื่องคิดเลขคาสิโอใหม่ โดยได้ทยอยเลิกทำตลาดสินค้าเครื่องคิดเลขที่เป็นแบบเบสิคธรรมดา คาดว่าปีหน้าคงจะหมดไปจากตลาดได้และเลิกทำแบบจริงจัง เพราะได้รับผลกระทบจากสมาร์ทโฟนที่มีเครื่องคิดเลขอยู่ในตัวด้วย และผลกระทบจากสินค้าที่ลอกเลียนแบบจนทำให้ผู้บริโภคแยกไม่ค่อยออก จึงซื้อไป แต่ด้วยราคาที่ต่ำและไม่มีคุณภาพจะทำให้ผู้บริโภคทราบเองว่าเป็นสินค้าปลอม

โดยหันมาให้ความสำคัญกับสินค้ากลุ่มที่มีฟังชั่นใช้งานมากขึ้น และเป็นเครื่องคิดเลขแบบเฉพาะเน้นทั้งค้าปลีก ทั้งกลุ่มองค์กร สถาบันการศึกษาต่างๆ กลุ่มอาชีพที่ต้องการเครื่องคิดเลขเฉพาะแบบนี้
ทั้งนี้บริษัทฯแบ่งสินค้าออกเป็น 3 กลุ่มหลักคือ 1.กลุ่มคอนซูเมอร์ สัดส่วนรายได้ 50% เน้นการใช้สินค้าที่มีฟังก์ชันการทำงานแบบพื้นฐาน หน้าจอขนาดใหญ่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ราคา 200 – 2,000 บาท, 2. กลุ่มการศึกษา สัดส่วนรายได้ 45% จับกลุ่มผู้ใช้งานเฉพาะทาง การคำนวณคณิฒศาสตร์ ราคาประมาณ 2,000 บาทขึ้นไป และกลุ่มที่ 3.กลุ่มโซลูชั่น ที่สามารถพิมพ์และพริ้นต์เป็นฉลากออกมากได้ รวมทั้ง3กลุ่มมากกว่า 270 ประเภท

โดยคาสิโอมีนโยบายที่จะเพิ่มฐานการผลิตในไทยเป็น 50% จากเดิมผลิต 35% โดยโยกกำลังผลิตจากจีนที่จะลดเหลือ 50% ภายในช่วง 2 ปีจากนี้

ล่าสุดจัดแคมเปญ”ซีเอ็มจี คาสิโอ ลุ้นโชคสุดช็อค” เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องคิดเลขคาสิโอที่มีเครื่องหมายรับประกัน”SURE” แล้วส่งมาชิงโชคลุ้นนาฬิกาคาสิโอ จี-ช็อก จำนวน 500 รางวัลๆะ 5,500 บาท ถึง 15 พ.ย.นี้ คาดว่าจะมียอดขายเพิ่ม 30 ล้านบาท

ผลประกอบการปี2559รวม3กลุ่ม35แบรนด์ คาดว่าจะเติบโต 10-15% ส่วนปี 2561-2563 คาดว่าจะโตประมาณ 15-20% มีรายได้รวม 20,000 กว่าล้านบาท จากขณะนี้รายได้ประมาณ 10,000 กว่าล้านบาท สัดส่วนจากต่างประเทศ 8%



กำลังโหลดความคิดเห็น