“พาณิชย์” คลอดยุทธศาสตร์ปาล์มน้ำมันระยะ 20 ปี เล็งเสนอ กนป. เห็นชอบเร็วๆ นี้ก่อนนำไปใช้จริง หวังยกระดับรายได้เกษตรกร ดันอุตสาหกรรมเข้มแข็ง เผยได้วางแผนเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุน สร้างมูลค่าเพิ่มไปสู่สินค้านวัตกรรม ทั้งวิตามิน ไบโอดีเซล ยันปี 64 เลิกคุมราคาน้ำมันปาล์มขวด ปี 65 เลิกแทรกแซงตลาด
น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการปาล์มน้ำมัน ที่มีนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน ได้จัดทำยุทธศาสตร์การปฏิรูปปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ ระยะ 20 ปี (2559-2579) เสร็จแล้ว โดยจะนำเสนอให้คณะกรรมการปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน พิจารณาเร็วๆ นี้ หากเห็นชอบจะนำไปใช้ได้ทันทีเพื่อพัฒนาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของไทยไปสู่อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีคอล ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์จากปาล์ม และเสริมสร้างการแข่งขันของไทย รวมทั้งทำให้อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของไทยเข้มแข็ง ยกระดับรายได้ของผู้ปลูกปาล์ม และทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
สำหรับยุทธศาสตร์ดังกล่าว ประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่ ด้านการผลิต ด้านนวัตกรรม ด้านมาตรฐาน ด้านพลังงาน ด้านการตลาด และด้านการบริหารจัดการ
โดยในด้านการผลิต จะเพิ่มผลผลิตต่อไร่เป็น 2.5-2.75 ตันในปี 2560-64 และเพิ่มเป็น 2.75-3 ตันในปี 2565-69 ส่วนปี 2570-74 เพิ่มเป็น 3-3.5 ตัน และปี 2575-79 เพิ่มเป็น 3.25-3.50 ตัน ขณะเดียวกัน จะเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก จากปัจจุบัน 4.81-5.23 ล้านไร่ เป็น 6.06-7.23 ล้านไร่ในปี 2579 รวมถึงลดต้นทุนการผลิต เพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมันในผลปาล์มให้สูงขึ้นเป็น 22% ใน 5 ปี หรือภายใน 2564 จากปัจจุบันอยู่ที่ 17-18% ซึ่งจะทำให้เกษตรกรขายได้ราคาดีขึ้น และจะวางแผนการผลิตในพื้นที่เหมาะสม ส่วนพื้นที่ไม่เหมาะสมจะส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชอื่นแทน ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ถ่ายทอดเทคโนโลยี
ด้านนวัตกรรม จะพัฒนาอุตสาหกรรมของไทย จากปัจจุบันที่ส่วนใหญ่ผลิตน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภค เช่น เป็นน้ำมันปาล์มขวด สบู่ ครีมบำรุงผิว เครื่องสำอาง ไปสู่อุตสาหกรรมโอเลโอเคมีคอลขั้นต้นและขั้นปลาย ที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น เช่น วิตามินอี อุตสาหกรรมไบโอดีเซล เป็นต้น
ด้านมาตรฐาน จะผลักดันให้มีการรับรองปาล์มน้ำมันตามมาตรฐาน GAP ผลักดันให้ขึ้นทะเบียนลานเท และจัดทำมาตรฐานลานเท พัฒนาและส่งเสริมเครื่องวัดเปอร์เซ็นต์น้ำมันจากทะลายปาล์ม พัฒนามาตรฐานโรงงานสกัด เพิ่มประสิทธิภาพมาตรฐานโรงงานสกัด ผลักดันมาตรฐานการผลิตสู่มาตรฐานสากล
ด้านพลังงาน จะเพิ่มความต้องการใช้ให้มากขึ้น โดยจะเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตไบโอดีเซลให้สูงขึ้นเป็น บี 10 ภายในปี 2569 และเพิ่มบี 20 ในปี 2579
ด้านการตลาด จากการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้มากขึ้น และเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก ทำให้คาดว่าในปี 2560-64 ไทยจะมีน้ำมันปาล์มดิบ 2.26-2.29 ล้านตัน และจะเพิ่มเป็น 2.49-2.82 ล้านตันในปี 2565-69 ส่วนปี 2570-74 เพิ่มเป็น 2.86-3.36 ล้านตัน และปี 2575-79 เพิ่มเป็น 3.78-6.31 ล้านตัน ซึ่งจะบริหารจัดการสต๊อกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะยกเลิกการแทรกแซงตลาดปาล์มตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป รวมถึงจะลอยตัวราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดเพื่อให้เป็นไปตามกลไกตลาด จากปัจจุบันกำหนดราคาเพดานสูงสุดที่ขวด/ลิตรละ 42 บาท พร้อมกันนั้น จะผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มผลิตภัณฑ์ไปซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) ขยายการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนวัตกรรม
ด้านการบริหารจัดการ ภายในปี 2560 กนป.จะเสนอให้ ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ที่สภาเกษตรกรแห่งชาติได้ยกร่าง และนำเสนอต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว ซึ่งคาดว่าน่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และมีผลบังคับใช้ในปี 2561
น.ส.วิบูลย์ลักษณ์กล่าวถึงสถานการณ์ปาล์มว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาผลปาล์มสดอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 5.80 บาท จากก่อนหน้าที่ กก.ละ 6 บาท ส่วนราคาน้ำมันปาล์มดิบกก.ละ 33 บาท จากก่อนหน้าที่ 37-38 บาท ขณะที่สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ 210,000 ตัน โดยราคาปรับลดลงเล็กน้อยเป็นเพราะผลผลิตปาล์มออกสู่ตลาดมากขึ้น ส่วนที่มีข่าวว่าราคาน้ำมันปาล์มขวดสูงเกินราคาเพดาน ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะกรมฯ ยังอยู่ในช่วงขอความร่วมมือผู้ค้า ทั้งห้างค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ขายในราคาเพดานไม่เกิน 42 บาท แม้ช่วงก่อนหน้านี้ราคาปาล์มสด และน้ำมันปาล์มดิบสูงขึ้นมาก คาดว่าสถานการณ์ปาล์มจะเข้าสู่ภาวะปกติในเร็วๆ นี้