ผู้จัดการรายวัน 360 - เศรษฐกิจนิ่งดันธุรกิจบาร์เทอร์บูม ไทยรั้งบัลลังก์อันดับหนึ่งของโลก 2 ปีซ้อน ลุ้นปีนี้ยอดแลกเปลี่ยนสินค้าทะลุ 1,000 ล้านบาท ยอดสมาชิกรวมกว่า 30,550 ราย
น.ส.เรวดี วัฏฏานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บาร์เทอร์คาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากสภาพเศรษฐกิจค่อนข้างนิ่งส่งผลต่อผู้ประกอบการที่จะระมัดระวังในการจ่ายกระแสเงินสดเพื่อลงทุนต่างๆ และมองหาเครื่องมือการค้าหรือการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจมากขึ้นแทน เห็นได้จากไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา (2558) มียอดการแลกเปลี่ยนสินค้าภายในบาร์เทอร์คาร์ดกว่า 30% ของยอดรวมกว่า 900 ล้านบาทที่ทำได้ในปีก่อน และส่งผลให้ไทยขึ้นเป็นอันดับ 1 ของการทำบาร์เทอร์เมื่อเทียบกับ 9 ประเทศทั้งหมดที่บาร์เทอร์คาร์ดให้บริการทั่วโลก
จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นยังส่งผลต่อเนื่องในปีนี้ ทำให้ลูกค้ายังคงมีการแลกเปลี่ยนสินค้ามากขึ้นเฉลี่ย 70-80 ล้านบาทต่อเดือน โดยเฉพาะ 2 ด้านหลัก คือ 1. ด้านการโฆษณาในภาวะที่คู่แข่งงดใช้งบโฆษณา 2. ซื้ออสังหาริมทรัพย์ไว้ในมือส่งผลให้ไทยอยู่ในอันดับหนึ่งในการทำบาร์เทอร์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 รองลงมาคือ อเมริกา และออสเตรเลีย ตามลำดับ
โดยแผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทยังคงมุ่งเพิ่มฐานสมาชิกต่อเนื่องอีก 550 ราย จากปีก่อน 30,000 ราย เพื่อเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจในการบาร์เทอร์สินค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น เบื้องต้นในการสมัครสมาชิกนั้นจะมี 3 ข้อ คือ 1. จะเสียค่าแรกเข้าครั้งเดียวตลอดชีพใน 3 แพกเกจให้เลือก คือ 18,000 บาท, 28,000 บาท และ 50,000 บาท 2. ค่าธรรมเนียม 6.5% ของยอดการทำธุรกรรมแต่ละครั้ง และ 3. ค่าธรรมเนียมรายเดือน 500 บาท/เดือน ซึ่งประโยชน์ที่สมาชิกจะได้รับ คือ 1. เพิ่มยอดขาย 10-15% 2. ลดค่าใช้จ่าย 10-50% ในการบริหารงาน
ปัจจุบัน บาร์เทอร์คาร์ดดำเนินธุรกิจเป็นเครื่องมือหรือตัวกลางให้แก่ลูกค้าในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการแทนการใช้เงินสดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยการให้บริการรวม 9 ประเทศทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ออสเตรเลีย และในไทยเข้ามาดำเนินธุรกิจกว่า 18 ปี ด้วยจำนวนสาขาทั่วประเทศที่ 6 สาขา สิ้นปีนี้ตั้งเป้ายอดบาร์เทอร์ไม่ต่ำกว่า 950 ล้านบาท แต่เชื่อว่าจะทำได้มากกว่านั้น
“ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี ยิ่งส่งผลให้ธุรกิจบาร์เทอร์เติบโต เพราะลูกค้าหันมาใช้วิธีการแลกเปลี่ยนสินค้าแทนเงินสดมากกว่า โดยในไทยเชื่อว่ามูลค่าตลาดรวมบาร์เทอร์น่าจะไม่เกิน 1,000 ล้านบาท และบาร์เทอร์คาร์ดมีส่วนแบ่งตลาดกว่า 95% จากผู้เล่นอีก 1-2 รายที่เป็นโลคัลและจากต่างประเทศ หรือเข้ามาและจากไป เพราะธุรกิจนี้ต้องอาศัยฐานสมาชิกเป็นสำคัญ ซึ่งบาร์เทอร์คาร์ดมีความแข็งแกร่งทั้งในไทยและต่างประเทศ” น.ส.เรวดีกล่าว
น.ส.เรวดี วัฏฏานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บาร์เทอร์คาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากสภาพเศรษฐกิจค่อนข้างนิ่งส่งผลต่อผู้ประกอบการที่จะระมัดระวังในการจ่ายกระแสเงินสดเพื่อลงทุนต่างๆ และมองหาเครื่องมือการค้าหรือการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจมากขึ้นแทน เห็นได้จากไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา (2558) มียอดการแลกเปลี่ยนสินค้าภายในบาร์เทอร์คาร์ดกว่า 30% ของยอดรวมกว่า 900 ล้านบาทที่ทำได้ในปีก่อน และส่งผลให้ไทยขึ้นเป็นอันดับ 1 ของการทำบาร์เทอร์เมื่อเทียบกับ 9 ประเทศทั้งหมดที่บาร์เทอร์คาร์ดให้บริการทั่วโลก
จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นยังส่งผลต่อเนื่องในปีนี้ ทำให้ลูกค้ายังคงมีการแลกเปลี่ยนสินค้ามากขึ้นเฉลี่ย 70-80 ล้านบาทต่อเดือน โดยเฉพาะ 2 ด้านหลัก คือ 1. ด้านการโฆษณาในภาวะที่คู่แข่งงดใช้งบโฆษณา 2. ซื้ออสังหาริมทรัพย์ไว้ในมือส่งผลให้ไทยอยู่ในอันดับหนึ่งในการทำบาร์เทอร์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 รองลงมาคือ อเมริกา และออสเตรเลีย ตามลำดับ
โดยแผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทยังคงมุ่งเพิ่มฐานสมาชิกต่อเนื่องอีก 550 ราย จากปีก่อน 30,000 ราย เพื่อเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจในการบาร์เทอร์สินค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น เบื้องต้นในการสมัครสมาชิกนั้นจะมี 3 ข้อ คือ 1. จะเสียค่าแรกเข้าครั้งเดียวตลอดชีพใน 3 แพกเกจให้เลือก คือ 18,000 บาท, 28,000 บาท และ 50,000 บาท 2. ค่าธรรมเนียม 6.5% ของยอดการทำธุรกรรมแต่ละครั้ง และ 3. ค่าธรรมเนียมรายเดือน 500 บาท/เดือน ซึ่งประโยชน์ที่สมาชิกจะได้รับ คือ 1. เพิ่มยอดขาย 10-15% 2. ลดค่าใช้จ่าย 10-50% ในการบริหารงาน
ปัจจุบัน บาร์เทอร์คาร์ดดำเนินธุรกิจเป็นเครื่องมือหรือตัวกลางให้แก่ลูกค้าในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการแทนการใช้เงินสดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยการให้บริการรวม 9 ประเทศทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ออสเตรเลีย และในไทยเข้ามาดำเนินธุรกิจกว่า 18 ปี ด้วยจำนวนสาขาทั่วประเทศที่ 6 สาขา สิ้นปีนี้ตั้งเป้ายอดบาร์เทอร์ไม่ต่ำกว่า 950 ล้านบาท แต่เชื่อว่าจะทำได้มากกว่านั้น
“ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี ยิ่งส่งผลให้ธุรกิจบาร์เทอร์เติบโต เพราะลูกค้าหันมาใช้วิธีการแลกเปลี่ยนสินค้าแทนเงินสดมากกว่า โดยในไทยเชื่อว่ามูลค่าตลาดรวมบาร์เทอร์น่าจะไม่เกิน 1,000 ล้านบาท และบาร์เทอร์คาร์ดมีส่วนแบ่งตลาดกว่า 95% จากผู้เล่นอีก 1-2 รายที่เป็นโลคัลและจากต่างประเทศ หรือเข้ามาและจากไป เพราะธุรกิจนี้ต้องอาศัยฐานสมาชิกเป็นสำคัญ ซึ่งบาร์เทอร์คาร์ดมีความแข็งแกร่งทั้งในไทยและต่างประเทศ” น.ส.เรวดีกล่าว