xs
xsm
sm
md
lg

“กฟผ.” ยันการประกวดราคาโรงไฟฟ้ากระบี่ไม่ขัดแย้งไตรภาคีและยังไม่มีผลทาง กม.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


กฟผ.ยืนยันการประกวดราคาโรงไฟฟ้ากระบี่ยังไม่มีผลทางกฎหมาย ต้องได้รับความเห็นชอบรายงาน EHIA จากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของคณะกรรมการไตรภาคีตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี และได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลครบถ้วนแล้วเท่านั้น

นายรัตนชัย นามวงศ์ รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ.ดำเนินการประกวดราคาโครงการโรงไฟฟ้ากระบี่ขนาดกำลังผลิต 800 เมกะวัตต์ คู่ขนานไปกับขั้นตอนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) เพื่อให้ระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP2015) ตามที่กำหนดไว้ไม่ได้ละเมิดข้อตกลงของคณะกรรมการไตรภาคีแต่อย่างใด

ทั้งนี้ เนื่องจากขั้นตอนการอนุมัติโครงการยังต้องรอความเห็นจากคณะกรรมการศึกษาการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้ากระบี่ (ไตรภาคี) ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2558 ซึ่งตามแผน PDP2015 โครงการจะแล้วเสร็จในปี 2562 ใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี ซึ่งจากขั้นตอนของคณะกรรมการไตรภาคีดังกล่าว ณ เวลาปัจจุบัน ทำให้คาดว่าโครงการจะต้องเลื่อนออกไปอย่างน้อยอีก 1 ปี

ทั้งนี้ การเปิดซองราคาโครงการโรงไฟฟ้ากระบี่เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 กลุ่มกิจการค้าร่วม พาวเวอร์ คอนสตรัคชั่น คอร์เปอเรชั่น ออฟ ไชน่า และบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ เสนอราคาต่ำสุดที่ประมาณ 32,000 ล้านบาท โดยผู้เสนออีกรายคือ 34,900 ล้านบาท เสนอราคาสูงกว่าราว 2,600 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการพิจารณาการประกวดราคาของโรงไฟฟ้ากระบี่ยังไม่แล้วเสร็จ ยังมีขั้นตอนการเจรจาในรายละเอียดกับกลุ่มผู้เสนอราคาเปรียบเทียบต่ำสุด โดยจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ซึ่งการเปิดซองประกวดราคานี้ยังไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย โดย กฟผ.ได้ระบุในเงื่อนไขการออกเอกสารสนองรับราคา (Letter of Intent-LOI) ไว้อย่างชัดเจนว่า จะออกเอกสารสนองรับราคาเมื่อโครงการฯ ได้รับความเห็นชอบรายงาน EHIA จากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่กำหนด รวมถึงได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการจากรัฐบาลครบถ้วนแล้วเท่านั้น หากรายงาน EHIA ไม่ผ่านการพิจารณาและคณะรัฐมนตรีไม่อนุมัติการดำเนินโครงการฯ กฟผ.จะยกเลิกการประกวดราคาในครั้งนี้

สำหรับประเด็นที่กรีนพีซไทยแลนด์ระบุว่าราคาประมูลต่ำสุด 3.2 หมื่นล้านนั้น สร้างความกังวลถึงประสิทธิภาพและการกำกับดูแลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยอ้างอิงข้อมูลที่ระบุว่า การติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมมลพิษที่เข้มงวดของโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 600 เมกะวัตต์ จะทำให้โครงการมีมูลค่าถึง 6.028 หมื่นล้านบาทนั้น รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้า กฟผ.ชี้แจงว่า ราคาประมูลต่ำสุดจากการเปิดซองประกวดราคามาจากการประกวดราคาในระดับนานาชาติ (International Bidding) โดยเป็นเทคโนโลยีสะอาดที่รวมอุปกรณ์ควบคุมมลภาวะตามมาตรฐานสากลแล้ว คือ ระบบกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) ระบบควบคุมก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน (SCR) อุปกรณ์ดักจับฝุ่น (ESP) และระบบกำจัดสารปรอท (ACI) ซึ่งเป็นราคาใกล้เคียงกับโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดทั้งของเอกชนในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน (ณ ระดับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกประมาณ $46 ต่อบาร์เรล)

ส่วนข้อมูลที่กรีนพีซอ้างระบุว่าองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) ประมาณการค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาด ประเภท Ultra-supercritical ที่ประมาณ 6 หมื่นล้านบาทนั้นเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เนื่องจาก IEA (มีนาคม 2013) ประมาณการต้นทุนค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 600 เมกะวัตต์ ประเภท Ultra-supercritical อยู่ในช่วงระหว่างประมาณ 17,000-53,000 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 35 บาท ต่อ 1 เหรียญสหรัฐ) ซึ่งเป็นราคาที่รวมอุปกรณ์ควบคุมมลภาวะตามมาตรฐานสากลแล้ว (โดยขณะนั้นราคาน้ำมันดิบมีราคาประมาณ $80 ต่อบาร์เรล) แต่การคำนวณของกรีนพีซยังได้นำ 6 หมื่นล้านบาทที่ถูกอ้างถึง ได้มีการบวกรวมเพิ่มค่าอุปกรณ์ควบคุมมลสารต่างๆ ซ้ำอีกครั้ง โดยอ้างอิงราคาการติดตั้งเพิ่มเติมโรงไฟฟ้าเก่าของสหรัฐอเมริกาในปี 2008 (NESCAUM 2011) ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้นับเป็นส่วนหนึ่งของโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดใหม่ในปัจจุบันอยู่แล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น