ปตท.สผ.ชี้แจงกรณีเกษตรกรอินโดนีเซียฟ้องเรียกค่าเสียหายจากน้ำมันรั่วจากแหล่งมอนทาราในทะเลติมอร์ปี 52 เป็นวงเงิน 200 ล้านดอลล์ออสเตรเลีย ยันผลการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ไม่ส่งผลกระทบระบบนิเวศน่านน้ำที่ติดกับอินโดนีเซีย
รายงานข่าวจากบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. แจ้งว่า ตามที่มีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการฟ้องร้องแบบกลุ่ม (Class action) ในนามของชุมชนนูซาเต็งการาติมอร์ ต่อบริษัท พีทีทีอีพี ออสตราเลเซีย (PTTEP Australasia) เรียกร้องค่าชดเชยความเสียหายจากเหตุการณ์มอนทาราในทะเลติมอร์เมื่อปี 2552 นั้น พีทีทีอีพี ออสตราเลเซีย ขอชี้แจงว่า บริษัทฯ ได้แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าวมาโดยตลอด โดยได้มีการศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์เพื่อติดตามผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทะเลติมอร์
จากผลการศึกษาวิจัยโดยละเอียดยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพในบริเวณที่ติดกับน่านน้ำอินโดนีเซีย และจากภาพถ่ายจากดาวเทียม ภาพถ่ายทางอากาศ รวมถึงการสร้างแบบจำลองการเคลื่อนที่ของคราบน้ำมัน (Trajectory Modelling) พบว่าคราบน้ำมันส่วนใหญ่ (98%) อยู่ในน่านน้ำออสเตรเลีย และไม่ได้แพร่เข้าสู่แนวชายฝั่งของออสเตรเลียหรืออินโดนีเซียแต่อย่างใด
พีทีทีอีพี ออสตราเลเซีย มั่นใจว่าการศึกษาวิจัยผลกระทบได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด และยืนยันว่าผลการศึกษาดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือเพียงพอที่จะสรุปได้ว่า หากแนวปะการังที่อยู่ใกล้แหล่งมอนทารา ซึ่งเป็นบริเวณที่เคยมีคราบน้ำมันและสารเคมีขจัดคราบน้ำมันนั้นไม่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่ทะเลและแนวชายฝั่งในเขตนูซาเต็งการาติมอร์ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งอยู่ไกลออกไปจะได้รับผลกระทบดังกล่าว
ทั้งนี้ ทางเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลชาวอินโดนีเซีย ยื่นฟ้องร้องคดีในนามกลุ่มบุคคลต่อศาลออสเตรเลียในวันพุธ (3 ส.ค.) เรียกค่าเสียหายมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 5,400 ล้านบาท) จากบริษัทในเครือของ ปตท.สผ. กรณีรั่วไหลน้ำมันจากแหล่งมอนทาราในทะเลครั้งใหญ่ที่ออสเตรเลีย ซึ่งพวกเขาระบุว่าเหตุการณ์นั้นสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาเป็นอย่างมาก