“สุวิทย์” นัดเวิร์กชอปแก้ปัญหาแรงงานรับมือนโยบายประเทศไทย 4.0 หลังมีแนวโน้มอุตสาหกรรมหันใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนมากขึ้น
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จะนัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (เวิร์กชอป) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อทำแผนรับมือการผลักดันนโยบายประเทศไทย 4.0 ในส่วนของผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม และภาคแรงงาน เพราะเป็นภาคส่วนที่จะได้รับผลกระทบ เนื่องจากในอนาคตมีแนวโน้มที่จะมีการนำเครื่องจักรมาใช้ทดแทนเพิ่มมากขึ้น
“เรื่องแรงงาน แต่ละกลุ่มจะได้รับผลกระทบแตกต่างกัน SMEs ก็ได้รับผลกระทบแบบหนึ่ง อุตสาหกรรมต่างๆ ก็อีกแบบหนึ่ง หรือตัวแรงงานเองก็จะได้รับผลกระทบหากไม่มีทักษะ ไม่มีการพัฒนา จึงต้องมาทำเวิร์กชอปเพื่อดูว่าปัญหาอยู่ตรงไหน และจะวางแผนแก้ไขกันอย่างไร เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ทำแค่วันสองวันเสร็จ ต้องคิดไว้ล่วงหน้า ไม่งั้นเดี๋ยวเจอช็อก”
นายสุวิทย์กล่าวว่า สำหรับการประเมินปัญหาในส่วนของ SMEs จะดูว่ามีการใช้แรงงานมากน้อยแค่ไหน มีการใช้เครื่องจักรทดแทนแรงงานหรือไม่ เพราะมีแนวโน้มว่าค่าแรงในอนาคตจะสูงขึ้น จะมีแผนในการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อย่างไร จะใช้แรงงานต่างด้าวเพื่อเป็นทางเลือกได้อีกหรือไม่ เนื่องจากแรงงานต่างด้าวก็อาจจะมีการกลับไปยังประเทศตัวเองหากเศรษฐกิจประเทศตัวเองดีขึ้น
ส่วนภาคอุตสาหกรรมก็มีผลกระทบมากน้อยแตกต่างกัน หากอุตสาหกรรมไหนมีการนำเครื่องจักรมาใช้มากขึ้นก็จะกระทบต่อการจ้างแรงงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก็ต้องไปดูว่าจะมีอุตสาหกรรมอะไรบ้าง จะเกิดขึ้นเร็วหรือช้า เมื่อรู้แล้วก็จะได้วางแผนรับมือได้ทัน
ขณะที่ภาคแรงงาน ก็ต้องดูว่าแรงงานเก่าจะเข้าไปช่วยพัฒนาหรือเพิ่มทักษะได้อย่างไร หรือจะย้ายแรงงานไปทำอะไร รวมทั้งต้องประเมินและปรับแผนการเรียนการสอนในภาคอาชีวะว่าจะทำหลักสูตรแบบไหน โดยประเมินให้สอดคล้องกับการใช้แรงงานของภาคอุตสาหกรรม เพราะหากผลิตคนออกมาแล้วแต่อุตสาหกรรมใช้เครื่องจักรหมดก็จะกระทบต่อแรงงานที่จะออกมา
“เมื่อได้ข้อสรุปออกมาแล้วก็จะนำไปหารือกับรัฐบาลเพื่อกำหนดนโยบายว่าจะทำอะไรกันต่อเพื่อรับมือในเรื่องนี้ เพราะการแก้ปัญหาประเมินว่าต้องใช้เวลาเตรียมการไม่น้อยกว่า 3-5 ปีถึงจะทำสำเร็จ แต่รัฐบาลมีเวลาอีกแค่ 1 ปี ก็ต้องเริ่มเอาไว้ก่อน ทำเท่าที่จะทำได้” นายสุวิทย์กล่าว
นายสุวิทย์กล่าวว่า ปัญหาเรื่องแรงงานในภาคอุตสาหกรรมเป็นปัญหาเดียวกันที่ทั่วโลกเจอ เพราะขณะนี้ทุกประเทศมีแนวโน้มที่จะหันไปใช้เครื่องจักร หรือใช้ระบบออโตเมชันกันมากขึ้น ทำให้แรงงานที่ทำงานอยู่ได้รับผลกระทบ ประเทศไทยจึงต้องเร่งปรับตัว และยิ่งมีนโยบายประเทศไทย 4.0 ก็ต้องยิ่งปรับตัวให้สอดคล้อง เพราะการไปสู่โรบอตใครก็หนีไม่พ้น เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ซึ่งเท่าที่ต้องตรวจสอบดูนโยบายของประเทศต่างๆ พบว่าสิงคโปร์มีหน่วยงานเฉพาะที่ดูในประเด็นที่เกี่ยวกับแรงงานว่าจะต้องปรับอย่างไร อังกฤษก็มีหน่วยที่ดูแลและปรับทักษะ สกิล ของแรงงาน