การใช้น้ำมันสำเร็จรูป 6 เดือนแรกปีนี้โต 5% โดยเฉพาะการใช้เบนซินที่เพิ่มขึ้นถึง 11.6% เนื่องจากราคาน้ำมันที่ถูกและผู้ใช้ LPG และ NGV ในภาคขนส่งหันมาใช้น้ำมันแทน ส่งผลให้ยอดใช้ LPG ภาคขนส่งลดฮวบ 15.6% NGV ลด 7.8% การใช้ไฟพุ่ง 5.4% จากอากาศร้อนนาน ด้านกองทุนอนุรักษ์จับมือ 7 มหาวิทยาลัยยกเครื่องงานวิจัย มุ่งเป้าเชิงพื้นที่
นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)และโฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การใช้น้ำมันสำเร็จรูปครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) ของปี 2559 มีการใช้อยู่ที่ระดับ 25,276 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยพบว่าเป็นการใช้เบนซินเพิ่มขึ้น 11.6% ดีเซลเพิ่มขึ้น 4.2% เนื่องจากระดับราคาน้ำมันขายปลีกที่ลดต่ำ ประกอบกับผู้ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) หันมาใช้น้ำมันมากขึ้นเนื่องจากราคาถูกและสถานีบริการที่ทั่วถึงมากกว่า
ทั้งนี้ จากราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำส่งผลให้การใช้ LPG 6 เดือนแรกปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 2,200 ล้านกิโลกรัม (กก.) ลดลง 11.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยความต้องการใช้ลดลงจากสาขาเศรษฐกิจ ทั้ง LPG ในภาคครัวเรือนที่การใช้ลดลง 0.1% ซึ่งเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการปรับราคาขายปลีกให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงจนนำมาสู่การลอยตัว อุตสาหกรรมปิโตรเคมีลดลง 23.8% เนื่องจากมีการหันไปใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบแทนการใช้ LPG ด้านภาคขนส่งลดลง 15.6% เนื่องจากราคาน้ำมันที่ต่ำลง และ LPG ภาคอุตสาหกรรมใช้เพิ่มขึ้น 2.5%
สำหรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติลดลง 1% จากแหล่งยาดานาหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติไปเมื่อวันที่ 25-28 กุมภาพันธ์ 2559 และ 10-19 เมษายน 2559 และแหล่งซอติก้าหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติไปเมื่อวันที่ 19-28 มีนาคม 2559 ขณะที่การใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ลดลง 7.8% ขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้า 6 เดือนแรกปีนี้มีปริมาณ 90,802 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้น 5.4% สาเหตุเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดเป็นเวลานาน ประกอบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น
นายทวารัฐกล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 59 ได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองงบประมาณของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยมี ดร.อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานเพื่อพิจารณาจัดสรรทุนโครงการศึกษาวิจัยพัฒนาด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ประจำปี 2559 ที่มีกรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น 450 ล้านบาท โดยยื่นข้อเสนอที่ สนพ. ซึ่งปีนี้ได้ปรับวิธีจัดสรรทุนโดย 7 มหาวิทยาลัยกับหน่วยงานในพื้นที่ร่วมกันกำหนดโจทย์วิจัยด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนที่ตรงกับความต้องการแก้ปัญหาของพื้นที่นั้นๆ และ สนพ.ได้นำมาประกาศเป็นโจทย์วิจัยผ่าน 7 มหาวิทยาลัย
ภาคเหนือ-มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิจัยเรื่องท่องเที่ยว-ผลไม้-ข้าวโพด, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน-มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิจัยเรื่องอ้อย-ปศุสัตว์, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและภาคตะวันออก-มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี วิจัยเรื่องมันสำปะหลัง-ปิโตรเคมี, ภาคกลาง-มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี วิจัยเรื่อง สับปะรด-มะพร้าว-ห้องเย็น และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิจัยเรื่อง ข้าว-ไม้โตเร็ว, ภาคใต้-มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิจัยเรื่อง ปาล์มน้ำมัน-ยางพารา-
อาหารทะเล และให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยวิจัยเรื่อง นวัตกรรม
“ข้อเสนอ 134 โครงการ รวมจำนวนเงิน 588 ล้านบาท มีที่ผ่านการพิจารณารอบสุดท้าย 46 โครงการ รวมจำนวนเงิน 162 ล้านบาท” นายทวารัฐกล่าว
