ผู้จัดการรายวัน 360 - ยักษ์ใหญ่เครื่องมือแพทย์ไต้หวันแบรนด์ APEX รุกตลาดไทยครบวงจร ทั้งตลาดผู้ป่วย-ผู้ใช้งานโดยตรง และกลุ่มโรงพยาบาลทั่วประเทศ หวังใช้เป็นฐานกรุยทางเข้ากลุ่มประเทศ CLMV คาดอนาคตเครื่องมือแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงจะเป็นสินค้าทั่วไปที่มีความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น
นายแดเนียล ลี ประธานบริษัท เอเพ็กซ์เมดิคัล คอร์ปอเรชั่น ไต้หวัน ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ภายใต้แบรนด์ “APEX” เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์จำหน่ายใน 60 ประเทศทั่วโลก โดยมีรายได้หลักจากยุโรป 45% เอเชีย 35% และสหรัฐอเมริกา 20% ในส่วนของประเทศไทยมีการทำตลาดในลักษณะ B2C ไปยังผู้ป่วยผ่านช่องทางร้านขายยาเป็นเวลานานกว่า 20 ปี มีผู้แทนจำหน่ายคือ บริษัท สมาพันธ์เฮลธ์ จำกัด ในเครือบริษัท สมาพันธ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
ล่าสุดเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาบริษัทฯ ยังร่วมกับ บริษัท สมาพันธ์ฯ จัดตั้งบริษัทร่วมทุนคือ บริษัท เอเพ็กซ์เมดิคัล (ไทยแลนด์) จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ในสัดส่วน 49:51 เพื่อทำตลาดในลักษณะ B2B เน้นโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ พร้อมตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ในอนาคตเป็น B2C 75% และ B2B 25%
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ “APEX” มี 2 กลุ่มหลัก คือ 1. กลุ่ม Wound Management ได้แก่ ที่นอนลม (Air Mattress) สำหรับผู้สูงวัย หรือผู้ป่วยโรคอัมพฤกษ์-อัมพาตที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ 2. กลุ่ม Respiratory Therapy ได้แก่ เครื่องช่วยป้องกันการหยุดหายใจขณะนอนหลับ หรือ CPAP โดยในปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้หลักจากที่นอนลม 50% เครื่อง CPAP 25% และอื่นๆ 25%
“การร่วมทุนครั้งนี้ยังมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้ บริษัท เอเพ็กซ์เมดิคัล (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นฐานเพื่อทำตลาดกลุ่มประเทศ CLMV โดยใช้ความได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนด้านระบบลอจิสติกส์และขนส่ง โดยคาดว่าจะเริ่มได้ภายใน 1-2 ปี หรือในทันทีที่แต่ละประเทศมีความพร้อมด้านกฎหมายที่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจ ขณะที่คาดว่าจะสามารถเริ่มในประเทศเวียดนามก่อนเป็นลำดับแรกเนื่องจากมีความพร้อมด้านตัวแทนจัดจำหน่ายแล้ว” นายแดเนียลกล่าวในที่สุด
ด้านเภสัชกร ชินการ สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาพันธ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ บริษัท สมาพันธ์เฮลธ์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของธุรกิจอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ของประเทศไทยมีการเติบโตในระดับสองหลักมาอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดในส่วน B2C ถือว่ามีการแข่งขันระดับสูงและมีคู่แข่งขันเป็นจำนวนมากนับ 10 ราย ส่วนตลาด B2B หรืออุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงยังไม่รุนแรงมากนัก ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา “APEX” จึงเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงเป็นหลัก ล่าสุดยังพัฒนาเครื่อง CPAP ชนิดพิเศษที่ใช้เฉพาะในห้องไอซียูเพื่อรองรับความต้องการของโรงพยาบาล โดยคาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าความต้องการผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีมากขึ้นและส่งผลให้เป็นผลิตภัณฑ์ทั่วไปจากปัจจุบันที่ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะ
สำหรับผลิตภัณฑ์ “APEX” ที่จำหน่ายในประเทศไทยมีทั้งหมดประมาณ 200 เอสเคยู สามารถทำส่วนแบ่งการตลาดได้ประมาณ 25% การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนครั้งนี้จึงคาดว่าจะช่วยทำรายได้เพิ่มมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเป็นการทำตลาดโดยเน้นจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่หลังจากนี้จะเพิ่มการให้บริการให้คำปรึกษา การให้ความรู้ในผลิตภัณฑ์ และบริการอื่นๆ หลังการขายเพื่อให้ครบวงจรมากขึ้น