xs
xsm
sm
md
lg

ERW ฐานต่ำโตดันปี 59 ก้าวกระโดด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง วิเคราะห์หุ้น บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป หรือ ERW บริษัทวางแผนการลงทุนรอบใหม่ในช่วงปี 2559-2563 เพื่อสนับสนุนการเติบโตกำไรในระยะยาว สำหรับ ERW เรามองว่าเป็นหุ้นท่องเที่ยวบริษัทเดียวในกลุ่มที่เราให้คำแนะนำว่าในปี 2559 จะได้รับผลประโยชน์จากฐานที่ค่อนข้างต่ำในปี 2558 เพราะฟื้นตัวล่าช้าจากเหตุการณ์ระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม ในวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ทำให้ยังคงคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร ปัจจุบัน ERW ซื้อขายกันที่มูลค่าต่ำกว่าราคามูลค่าทดแทนที่ 7.50 บาทต่อหุ้น โดยคงราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2559 ยังคงอยู่ที่ 4.60 บาท

ERW วางแผนเงินลงทุนรวม (CAPEX) ทั้งหมด 10 พันล้านบาท ในปี 2559-2563 โดยไม่มีความเสี่ยงในการเพิ่มทุน (85% แบ่งเป็นเงินลงทุนสร้างโรงแรมใหม่ และที่เหลือสำหรับการปรับปรุงโรงแรมดิม) บริษัทวางแผนที่จะขยายจาก 33 โรงแรม รวม 5,676 ห้อง ณ สิ้นปี 2558 เป็น 90 โรงแรม 10,000 ห้อง ณ ภายในสิ้นปี 2563 โรงแรมที่เปิดใหม่จะไม่ใช่โรงแรมระดับหรู แต่เป็นระดับกลาง-ล่าง บริษัทคาดรายได้จากโรงแรมที่ไม่ใช่โรงแรมหรูเพิ่มขึ้นจาก 45% ในปี 2558 เป็น 58% ในปี 2563 และมีสัดส่วนในอัตรา EBITDA เพิ่มขึ้นจาก 53% เป็น 65% ตามลำดับ สำหรับแหล่งที่ตั้งของโรงแรมจะมีการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น โดยวางแผนรายได้จากโรงแรมที่มิใช่กรุงเทพฯ ขยายตัวจาก 35% ในปี 2558 เป็น 45% ในปี 2563 และอัตรา EBITDA เพิ่มจาก 33% เป็น 50% ตามลำดับ สำหรับโรงแรมใหม่ทั้งหมดนั้นบริษัทวางแผนในกรุงเทพฯ เพียงแห่งเดียวที่ถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับกลาง โนโวเทล น่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2562
นโยบายการลงทุนในฟิลิปปินส์เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น และคิดเป็น 30% ของการลงทุนรวมของบริษัทในช่วงปี 2559-2563 บริษัทตั้งใจที่จะเปิด 20 โรงแรมในฟิลิปปินส์ก่อนสิ้นปี 2563 เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าเดินทางท่องเที่ยวในประเทศระดับล่าง-กลาง และเน้นเปิดโรงแรมชั้นประหยัด (โนโวเทล, เมอคิวรี และฮอปอินน์) โดยโรงแรมแบรนด์ฮอปอินน์ แห่งแรก จะเปิดให้บริการในกรุงมะนิลา ในไตรมาส 4/59 ผลการดำเนินงานในฟิลิปปินส์คาดคิดเป็น 10% ของรายได้ รวมของบริษัทสำหรับปี 2563 และ 13% ของ EBITDA

ล่าสุด บริษัทเปิดโรงแรมฮอปอินน์ไปแล้ว 16 แห่งในต่างจังหวัดทั่วประเทศไทย โดยมีฮอปอินน์ 5 แห่ง จะเปิดให้บริการในปี 2559 (สกลนคร, ชุมพร, จันทบุรี, หาดใหญ่ และเชียงใหม่) แม้ว่าจะเป็นแบรนด์โรงแรมน้องใหม่ แต่ฮอปอินน์กลับสร้างผลประกอบการเกือบถึงจุดคุ้มทุนในปี 2558 ที่ผ่านมา

หลังจากมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ 54% ในปี 2558 ซึ่งหากบริษัทมีอัตราการเข้าพักเพียง 25% ก็จะทำให้ EBITDA อยู่ที่จุดคุ้มทุน และอัตราการเข้าพักที่ 45% จะทำให้ผลประกอบการบรรทัดสุดท้ายคุ้มทุน ด้วยประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจโรงแรมชั้นประหยัดตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ทำให้บริษัทวางแผนที่จะขยายโรงแรมฮอปอินน์เพิ่มผ่านการบริหารจัดการแฟรนไชส์ (สัญญาการบริหาร) ซึ่งจะทำให้เกิดการขยายตัวได้เร็ว และได้รับอัตราผลตอบแทนเร็วขึ้น

ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเติบโต 3% ในปี 2559 อัตราการเข้าพักคาดเติบโต 80% ในปี 2559 (เพิ่มขึ้น 6% YoY) ใกล้กับระดับสูงสุดที่ 79% ในปี 2556 โดยราคาห้องพักเฉลี่ยปี 2559 คาดลดลง 6% YoY จากการเปลี่ยนแปลง ส่วนผสมผลิตภัณฑ์ โดยมีสัดส่วนของโรงแรมฮอปอินน์มากขึ้น จำนวนห้องรวมคาดขยายตัว 11% เป็น 6,310 ห้อง ในปี 2559 จากการเปิดตัวโรงแรมฮอปอินน์ใหม่ 7 แห่ง ดังนั้น จากจำนวนห้องพักที่เพิ่มขึ้นบริษัทตั้งเป้ารายได้ ปี 2559 เติบโต 15% อัตราผลตอบแทน EBITDA margin คาดดีขึ้น 1.0% YoY เนื่องจากผลประโยชน์ของค่าใช้จ่ายที่ถูกเกลี่ยจากรายได้ที่เติบโตขึ้น (operating leverage) ที่สำคัญบริษัทวางแผนที่จะขายโรงแรมเข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่ตั้งขึ้นใหม่ มูลค่ารวมเบื้องต้น 1.6-1.7 พันล้านบาท (เราคาดว่าเป็นการขายโรงแรมไอบิส 2 แห่ง) ซึ่งจะทำให้บริษัทบันทึกกำไรจากการขายได้ (รายการดังกล่าวยังไม่ได้รวมในประมาณการของเรา และตลาด)

กำลังโหลดความคิดเห็น