ผู้จัดการรายวัน 360 -เผยโซเชียลมีเดียวิตก ผลิตภัณฑ์ไส้กรอกรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศใช้สาร “ไนเตรท” และ “ไนไตรท์” ในปริมาณที่เกินกำหนด พร้อมส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ CPF ชิงจังหวะปรับตัวรับกระแส เพิ่มงบฯ ออนไลน์ 30% พร้อมเปิดตัวแคมเปญออนไลน์แรกประจำปี 2559 เปิดโรงงานให้สื่อมวลชนชมกระบวนการผลิต หวังสร้างการรับรู้ถึงคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์กลุ่มไส้กรอก “เซเว่น เฟรช” ทั้งหมดร่วม 20 ชนิด รวมกว่า 200 เอสเคยู
นายวิทวัส ตันติเวสส รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ด้านการตลาด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เปิดเผยว่า ในปี 2559 บริษัทฯ ให้ความสำคัญด้านการใช้สื่อออนไลน์มากขึ้นด้วยการเพิ่มงบประมาณถึง 30% จากงบประมาณการตลาดรวม 300 ล้านบาทในปี 2558 โดยล่าสุดได้เปิดตัวแคมแปญ “ไส้กรอกซีพี เปิดบ้าน ปลอดภัย มั่นใจ 100%” เป็นแคมเปญแรกจากปกติที่จะมีแคมเปญต่างๆ เฉลี่ยไตรมาสละ 1 แคมเปญ หรือปีละ 4 แคมเปญ
การจัดแคมเปญครั้งนี้เป็นผลมาจากกระแสท้วงติงของผู้บริโภคในโลกโซเชียลมีเดียในช่วงปลายปี 2558 ที่ตั้งข้อสังเกตและวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไส้กรอกในตลาดรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของการใช้สาร “ไนเตรท” และ “ไนไตรท์” ในปริมาณที่เกินกำหนดเพื่อช่วยคงสภาพของไส้กรอกและช่วยทำให้สีของไส้กรอกดูสวยงามน่ารับประทาน รวมไปถึงการนำส่วนผสมของ “ดินประสิว” มาใช้เป็นส่วนผสมในการถนอมอาหาร และการใช้เครื่องรมควันที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ตลอดจนการใช้วัตถุดิบหมู เนื้อ ไก่ และอื่นๆ ที่ขาดคุณภาพ
บริษัทฯ จึงจัดแคมเปญ “ไส้กรอกซีพี เปิดบ้าน ปลอดภัย มั่นใจ 100%” เพื่อสร้างการรับรู้สู่กลุ่มผู้บริโภคให้มีความมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์กลุ่มไส้กรอก “เซเว่น เฟรช” ทั้งหมดกว่า 20 ชนิด รวมประมาณ 200 เอสเคยู ทั้งยังถือเป็นแคมเปญออนไลน์แรกประจำปี 2559 โดยใช้งบประมาณ 20-30% จากงบประมาณด้านสื่อออนไลน์ พร้อมทั้งมี “บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” เป็นพรีเซ็นเตอร์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยแคมเปญนี้จะจัดทำต่อเนื่องจนถึงเดือน มิ.ย.ศกนี้ จากนั้นในช่วงปลายเดือน มิ.ย. 59 จะจัดแคมเปญที่ 2 ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่คือ ไส้กรอกคอกเทล แฮมชีส
“แคมเปญดังกล่าวยังจะมีการจัดกิจกรรมโรดโชว์ รวมถึงนำสื่อมวลชนและแฟนคลับร่วมเยี่ยมชมโรงงานของบริษัทฯ ในวันที่ 13 มิ.ย. 59 ซึ่งถือเป็นโรงงานอันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาที่มีกระบวนการผลิตอัตโนมัติแบบต่อเนื่อง บนพื้นที่โรงงาน 1 หมื่น ตร.ม. ภายในพื้นที่ทั้งหมดกว่า 70 ไร่ โดยมีการลงทุนเครื่องจักรและหุ่นยนต์ในการผลิตทดแทนแรงงานคนเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมาด้วยงบลงทุนกว่า 1 พันล้านบาท”
นายวิทวัสกล่าวด้วยว่า บริษัทฯ เน้นกลุ่มเป้าหมายคนทำงานรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตเร่งรีบและต้องการความสะดวกสบายรวดเร็วในการรับประทานอาหาร โดยใช้ช่องทางจัดจำหน่ายหลักผ่านร้านสะดวกซื้อ 50% รองลงไปคือกลุ่มเป้าหมายแม่บ้านที่ต้องการเลือกอาหารให้บุตรหลาน โดยใช้ช่องทางซูเปอร์มาร์เกตและไฮเปอร์มาร์เกต 20% นอกจากนั้นเป็นกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่นิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางฟูดเชน 10% ร้านค้าทั่วไป 10% และอื่นๆ 10%
อนึ่ง เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมาโลกโซเชียลมีเดียลในประเทศไทยได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ไส้กรอกอีกครั้ง เมื่อ “ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ” หรือ www.chaladsue.com ได้รายงานผลการเก็บตัวอย่างไส้กรอก 15 ยี่ห้อที่จำหน่ายตามท้องตลาดมาตรวจหาสาร “ไนเตรท” และ “ไนไตรท์” หรือสารกันบูดในอาหาร ซึ่งตามมาตรฐานโคเด็กซ์ กำหนดให้นำมาผสมในอาหารได้ไม่เกิน 80 มิลลิกรัมต่อผลิตภัณฑ์ 1 กิโลกรัม โดยพบว่ามีผลิตภัณฑ์ 11 ตัวอย่างใช้ในระดับไม่เกินมาตรฐานกำหนด แต่มี 3 ตัวอย่างเกินมาตรฐาน และมีเพียง 1 ยี่ห้อที่ไม่ได้มีการผสมสารทั้ง 2 ชนิดแต่อย่างใด
“ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ” ยังรายงานด้วยว่า ผลิตภัณฑ์ไส้กรอกในประเทศไทยมีมูลค่าการตลาดประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็นปริมาณเท่ากับ 3 แสนตัน แบ่งเป็นกลุ่มไส้กรอก 49% และกลุ่มสไลซ์ (โบโลญญา, แฮม, เบคอน) 45% และอื่นๆ 6%
