ผู้จัดการรายวัน 360 - “มอนเด นิสซิน” มองตลาดบิสกิตเริ่มนิ่ง รุกคืบอัด 1.5 พันล้านบาทลุย “อุด้งสำเร็จรูป” หวังดันรายได้รวมโตอีกเท่าตัวใน 5 ปีสู่ 2 พันล้านบาทจากยอดขาย 2 กลุ่มในสัดส่วนเท่ากัน
นายเว็นเซสเลา วี ซานโตส ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาด บริษัท มอนเด นิสซิน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอุด้งเส้นสดแบรนด์ “ลัคกี้ มี” เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจบิสกิตภายใต้แบรนด์ “วอยซ์” เป็นหลัก โดยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 3 ในช่องทางเทรดิชันนัลเทรดเมื่อปี 2558 ด้วยรายได้ 1 พันล้านบาท แต่เนื่องจากตลาดค่อนข้างนิ่ง บริษัทฯ จึงมุ่งหาโอกาสในการดำเนินธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงเข้าไปรุกตลาดบิสกิตในกลุ่มพรีเมียม หรือช่องทางโมเดิร์นเทรดมากขึ้น
จากการศึกษาพบว่าภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทยมีมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบซอง 70% และแบบถ้วย 30% โดยแบบซองคงที่ 2-3 ปี ขณะที่แบบถ้วยโต 7-8% ส่วนอัตราการบริโภคเฉลี่ยต่อคนต่อปีคือ 45 ซอง น้อยกว่าเกาหลีใต้เฉลี่ย 72 ซอง และเวียดนาม 55 ซอง ทั้งยังพบว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประเภท “อุด้ง” ยังมีส่วนแบ่งในตลาดน้อยมาก ส่วนหนึ่งมาจากการที่เป็นสินค้านำเข้าเฉลี่ยราคาสูงถึง 100 บาทต่อซอง
บริษัทฯ จึงเล็งเห็นโอกาส พร้อมใช้งบลงทุนกว่า 1.5 พันล้านบาทเพื่อก่อสร้างโรงงานและไลน์การผลิตอุด้งสดสไตล์ญี่ปุ่นแบรนด์ “ลัคกี้ มี” แห่งแรกในไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายหลักคือกลุ่มคนวัยทำงาน อายุ 25-35 ปี ภายใต้แผนการตลาดในปีแรกใช้งบฯ 50 ล้านบาทจัดกิจกรรมออนไลน์ โฆษณาประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และแคมเปญโปรโมชันส่งเสริมการขาย โดยมั่นใจว่าในปีแรกจะทำรายได้ให้บริษัทในสัดส่วน 20% และจะเพิ่มเป็น 50% ใน 5 ปี เท่ากับบิสกิต ทำให้มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ด้วยมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท
เบื้องต้นผลิตภัณฑ์ “ลัคกี้ มี” มี 2 รสชาติ คือ รสเทมปุระ ซุปใสสไตล์ญี่ปุ่น และรสต้มยำกุ้ง มีทั้งแบบถ้วยราคา 49 บาท และแบบซองราคา 39 บาท ถูกกว่าแบรนด์นำเข้าถึง 50% ถือเป็นราคาที่จับต้องได้ โดยจำหน่ายผ่านช่องทางหลักคือ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต, เดอะมอลล์, แฟมิลี่ มาร์ท, วิลล่า ซูเปอร์มาร์เก็ต, ฟู้ดแลนด์, ยูเอฟเอ็ม, อิเซตัน โดยในเร็วๆ นี้จะเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อ เช่น เซเว่น-อีเลฟเว่น, เทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี โดยตั้งเป้าปีแรกมีรายได้ 200 ล้านบาท และเติบโตปีละ 30-40% พร้อมมีส่วนแบ่งทางการตลาดของบะหมี่ถ้วย 3.5% โดยคาดว่าภายใน 5 ปีจะมียอดขายสูงถึง 1 พันล้านบาท และมีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 5%