ผู้จัดการรายวัน 360 - Booking.com ฟุ้งผลงานเป็นบริษัทอี-คอมเมิร์ซใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามตลาด 63.47 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นรองเพียง “อาลีบาบา” และ “อเมซอน” เตรียมแผนเปิดสำนักงานแห่งที่ 4 ในไทยที่เชียงใหม่ ก่อนขยายเครือข่ายเข้าภาคอีสานในอนาคต หลังครองผู้นำผู้ให้บริการด้านที่พักในไทยมากถึง 1.2 หมื่นแห่ง สูงที่สุดในเอเชียแปซิฟิก
นายโอลิเวอร์ ฮัว กรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Booking.com ผู้นำระดับโลกด้านการจองที่พักผ่านช่องทางออนไลน์ในเครือ “ไพรซ์ไลน์ กรุ๊ป” (Priceline Group) เปิดเผยว่า Booking.com ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2539 ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นผู้ให้บริการจองห้องพักมากกว่า 8.6 แสนแห่ง รวมทั้งสิ้นกว่า 21 ล้านห้อง คิดเป็น 8.5 หมื่นจุดหมายปลายทาง ใน 224 ประเทศและเขตการปกครอง โดยมีผู้เข้าพักในที่พักที่เปิดให้จองผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน Booking.com ด้วยภาษาท้องถิ่นถึง 42 ภาษา เป็นจำนวนมากกว่า 1 พันล้านราย พร้อมจำนวนความคิดเห็นจากผู้เข้าพักจริงมากกว่า 79 ล้านรีวิว
Booking.com มีที่พักมากกว่า 30 ประเภท ทั้งโรงแรม รีสอร์ต บ้านตากอากาศ อพาร์ตเมนต์ บ้านต้นไม้ เรือ และอื่นๆ แต่ละวันมีการจองมากกว่า 1 ล้านพักต่อคืน โดย 1 ใน 3 ของการจองห้องพักทั้งหมดเป็นการจองผ่านโทรศัพท์มือถือ ส่งผลให้เป็นบริษัทอี-คอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามตลาด (Market Cap) 63.47 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นรอง “อาลีบาบา” ที่มีมูลค่า 202.81 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ “อเมซอน” มีมูลค่า 316.83 พันล้านเหรียญสหรัฐ
“ในปี 2558 เครือไพรซ์ไลน์ กรุ๊ป มีภาพรวมการจองที่พักทั่วโลกคิดเป็นมูลค่า 55.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยยอดจองห้องพัก 3.91 แสนแห่งใน 80 ล้านตัวเลือกที่พักใน 224 ประเทศและเขตการปกครอง ทั้งยังให้บริการจองรถเช่า 57 ล้านครั้ง คิดเป็นจำนวน 500 ล้านคัน รวมถึงให้บริการร้านอาหาร 3.4 หมื่นแห่ง ด้วยยอดผู้ใช้บริการกว่า 200 ล้านราย โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามตลาด 63.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ”
นายโอลิเวอร์กล่าวในตอนท้ายว่า Booking.com มีจุดเด่นคือการทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างลูกค้ากับคู่ค้า โดยมีระบบการจองที่พักและการชำระเงินที่ยืดหยุ่น พร้อมอำนวยความสะดวกสบายให้ลูกค้าด้านการชำระเงินโดยไม่ต้องใช้ข้อมูลบัตรเครดิตในการจองและไม่มีค่าธรรมเนียมอื่นๆ แอบแฝง โดยลูกค้าสามารถชำระด้วยเงินสดและบัตรเครดิตเมื่อเข้าพัก ณ จุดหมายปลายทาง ตลอดจนสามารถปรับเปลี่ยนการจองที่พักได้ก่อนเข้าพัก 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ
ทางด้าน น.ส.ปาริฉัตร แฮห์เนน ผู้จัดการภาคพื้นประเทศไทย อินโดจีน และพม่า Booking.com ดูแลพื้นที่ประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า เปิดเผยว่า ปัจจุบัน Booking.com มีสำนักงานสนับสนุน 174 แห่งใน 70 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศไทยถือเป็นตลาดหลักของ Booking.com ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกด้วยจำนวนที่พักกว่า 1.2 หมื่นแห่งจากทั้งหมด 5 หมื่นแห่ง หลังจากเริ่มก่อตั้งสำนักงานแห่งแรกที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2539 ตามด้วยภูเก็ตในปี 2554 และสมุยในปี 2557
ในช่วงปลายปี 2559 Booking.com จะเปิดสำนักงานแห่งที่ 4 ในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นการขยายโอกาสและสร้างการเติบโตทางธุรกิจ รวมถึงยังเป็นการให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่คู่ค้าธุรกิจโรงแรมและที่พักในภาคเหนือและใกล้เคียง โดยอนาคตอันใกล้อาจมีการขยายสำนักงานแห่งใหม่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นลำดับต่อไปเพื่อตอบสนองนโยบายในการให้บริการที่พักหลากหลายประเภทด้วยจำนวนมากที่สุด
น.ส.ปาริฉัตรกล่าวอีกว่า Booking.com มีรายได้จากกค่าคอมมิชชันจากโรงแรมและที่พัก 15% ดังนั้นกลยุทธ์การตลาดในประเทศไทยจึงจะร่วมมือกับโรงแรมและที่พักต่างๆ รวมถึงพันธมิตรอื่นๆ เช่น บัตรเครดิตต่างๆ ในการให้มอบสิทธิพิเศษต่างๆ ตลอดจนพัฒนาฟังก์ชันการใช้งานใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในการใช้บริการและตัดสินใจจองที่พักผ่าน Booking.com มากขึ้น
“ปัจจุบันลูกค้าชาวไทยของ Booking.com ใช้บริการจองที่พักผ่านสมาร์ทโฟนและเว็บไซต์ในสัดส่วนเท่ากันคือร้อยละ 50:50 สอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้าชาวเอเชียที่นิยมจองผ่านสมาร์ทโฟนมากกว่า ขณะที่ลูกค้าชาวยุโรปและสหรัฐอเมริกานิยมใช้การจองผ่านเว็บไซต์มากที่สุด”
จากข้อมูลภายในของ Booking.com พบว่าจุดหมายการท่องเที่ยวในเมืองไทยที่ได้รับการจองมากที่สุดโดยนักเดินทางชาวไทย 10 ลำดับแรก คือ กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, หัวหิน, พัทยากลาง, ลาดกระบัง, หาดป่าตอง, พัทยาใต้, หาดจอมเทียน, หาดอ่าวนาง และเชียงราย โดยมีความชื่นชมใน 10 ด้าน คือ ความผ่อนคลาย, อาหาร ชายหาดและริมหาด, ชอปปิ้ง, ร้านอาหาร, อาหารทะเล, ตลาด, แสงสียามค่ำคืน, การดูดาว และอากาศบริสุทธิ์
ขณะเดียวกัน 3 อันดับจุดหมายท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดคือ หาดจอมเทียน, พิษณุโลก และขอนแก่น พร้อมให้ความชื่นชอบใน 5 เรื่อง คือ ร้านอาหาร, วัด, วัฒนธรรรม, โบราณสถาน และประวัติศาสตร์ โดยนักท่องเที่ยวไทยยังมีการให้ความสำคัญในการเลือกที่พัก 3 ประเด็นหลัก คือ ไวไฟ, ความสะอาด และการให้บริการของพนักงาน