ผู้จัดการรายวัน 360 -สมาคมกาแฟพิเศษไทยเผยปริมาณการผลิตกาแฟในไทยยังไม่เพียงพอต่อการบริโภค จนต้องนำเข้าจากกลุ่มประเทศ CLMV ด้วยอัตราภาษี 90% จนกดดันอัตราการเกิดใหม่ของธุรกิจร้านกาแฟ แต่มั่นใจตลาดยังไปได้ไกลหากผู้ประกอบการค้นหาสไตล์ที่แตกต่าง พร้อมสร้างเมนูแปลกใหม่คุณภาพดีให้ผู้บริโภค
นายอภิชา แย้มเกษร นายกสมาคมกาแฟพิเศษไทย เปิดเผยว่า การขยายตัวของธุรกิจกาแฟยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะถือเป็นไลฟ์สไตล์ของผู้คนและมีการเติบโตของกลุ่มผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง แต่ประเทศไทยยังผลิตกาแฟไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยประมาณการผลผลิตกาแฟอะราบิกาในปี 2559 คาดว่าจะมีประมาณ 9 พันตัน ส่วนกาแฟโรบัสตาคาดว่าจะมีประมาณ 1.78 หมื่นตัน
แม้ว่าราคาเมล็ดกาแฟในประเทศไทยยังคงสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เพราะมีการเก็บภาษีนำเข้ากาแฟจากกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, พม่า, เวียดนาม) สูงถึง 90% ส่งผลให้ราคาเมล็ดกาแฟไทยสูงถึง 160-180 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาเมล็ดกาแฟประเทศเพื่อนบ้านอยู่ในระดับ 95-105 บาท ซึ่งถือว่ามีผลดีต่อเกษตรกร แต่ก็กดดันต่ออัตราการเติบโตของการเกิดใหม่ธุรกิจร้านกาแฟ เพราะมีต้นทุนวัตถุดิบคือราคาเมล็ดกาแฟที่แพงมาก
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟยังต้องเตรียมตัวรับมือกับราคาเมล็ดกาแฟที่ลดลงเข้าสู่ภาวะราคาจริงตามตลาดโลกและจำเป็นต้องหันมาทำกาแฟแบบ Specialty Coffee เพื่อให้ได้ราคาดีมากขึ้น เพราะประเทศไทยยังเสียเปรียบเรื่องต้นทุนการผลิต
นายอภิชากล่าวอีกว่า ในส่วนตลาดการเปิดธุรกิจร้านกาแฟในเมืองใหญ่อาจหาทำเลเปิดได้ยากขึ้น แต่ตลาดต่างจังหวัดยังเปิดกว้างอีกมาก ขณะที่ตลาดแรงงานพนักงานร้านกาแฟมีความต้องการมากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการธุรกิจร้านกาแฟจึงต้องหาความรู้เกี่ยวกับกาแฟเพิ่มเติมตลอดเวลา พร้อมทั้งปรับปรุงทดสอบคุณภาพการชงกาแฟของร้านอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนเสาะแสวงหากาแฟคุณภาพดีและแหล่งปลูกใหม่ๆ หรือสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ มาบริการลูกค้าเพื่อลดความจำเจ
“ผู้ประกอบการธุรกิจร้านกาแฟต้องรักษามาตรฐานคุณภาพการชงกาแฟและเครื่องดื่ม โดยการเปิดร้านใหม่ หรือขยายสาขาอาจต้องเน้นที่ทำเลดีจริงๆ หรือเป็นทำเลแหล่งชุมชนและสถานที่ท่องเที่ยว จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น”
สมาคมกาแฟพิเศษไทยเห็นว่า การให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ผู้ประกอบการในการประกอบธุรกิจกาแฟนั้นเป็นการแก้ปัญหาของผู้ประกอบการแบบองค์รวมที่ตรงจุดที่สุด โดยผู้ที่ต้องการมีธุรกิจร้านกาแฟจะต้องมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับศาสตร์ของกาแฟและการชงกาแฟ รวมทั้งสามารถหาอัตลักษณ์และสไตล์ของตนให้ได้ เพราะจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความแตกต่างจากร้านอื่นๆ ขณะเดียวกัน การเลือกทำเลยังเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะหากทำกาแฟรสชาติเยี่ยม แต่ไม่มีลูกค้าเข้าร้านก็ย่อมประสบความสำเร็จได้ยาก
“เทรนด์ของธุรกิจกาแฟในอนาคต ทิศทางจะเป็นร้านกาแฟที่เรียกว่า Third Wave คือมีความพิถีพิถันในการทำร้านกาแฟในทุกๆ ด้าน เช่น การเลือกใช้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ หรือเรียกว่า Specialty Coffee จากแหล่งปลูกหลายๆ แหล่งมาบริการลูกค้า ขณะที่ตัวพนักงานชงกาแฟบาริสตาต้องมีความเข้าใจในการชงกาแฟอย่างถูกต้องและสามารถอธิบายเรื่องราวของกาแฟแก่ลูกค้าได้อย่างเข้าใจ โดยผู้ประกอบการยังต้องมีความพิถีพิถันในการตกแต่งร้านและการเลือกใช้อุปกรณ์เครื่องชงกาแฟที่มีคุณภาพเพื่อตอบสนองต่อความพึงพอใจของลูกค้ามากยิ่งขึ้น”
นายอภิชากล่าวในตอนท้ายว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2559 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 3.7 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐในกองทุนหมู่บ้านวงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท และราคาน้ำมันดิบที่มีราคาต่ำสุดในรอบ 7 ปี รวมทั้งการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยกดดันน่าจะมาจากภัยแล้งที่จะมีผลต่อภาคการเกษตรและสภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลก