xs
xsm
sm
md
lg

“จิ้มแจ่ม” ปั้นแบรนด์ชิงแชร์ตลาดซอส 30%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“จรีลักษณ์ จันทร์สุวรรณ” (ซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิ สมิธ ฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด พร้อมด้วยพรีเซ็นเตอร์ “แจ๊ส ชวนชื่น” และภรรยา “แจง-ปุณณาสา”
ผู้จัดการรายวัน 360 - “ดิ สมิธ ฟู้ดฯ” ได้ฤกษ์ปั้นแบรนด์ “จิ้มแจ่ม” หลังซุ่มส่งออกและรับช่วงผลิตมานับ 10 ปี ทุ่มงบฯ 100 ล้านบาท ลงทุนเครื่องจักรและปูพรมการตลาด หวังเร่งยอดขาย 300 ล้านบาทจากตลาดรวม 1 พันล้านบาท ก่อนขยับเป็น 500 ล้านบาทใน 3-5 ปี พร้อมสยายปีกตั้งโรงงานในจีนและเวียดนามบุกตลาดเออีซีเต็มตัว

นางจรีลักษณ์ จันทร์สุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิ สมิธ ฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำจิ้มและซอสปรุงรส เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ มีประสบการณ์ในฐานะผู้ส่งออกและผู้รับช่วงการผลิตในลักษณะ OEM เป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี จึงตัดสินใจใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาทในการผลิตน้ำจิ้มและซอสปรุงรสเพื่อสร้างแบรนด์ของตนเองภายใต้ชื่อ “จิ้มแจ่ม”

การลงทุนครั้งนี้แบ่งเป็นการลงทุนด้านเครื่องจักรและการตลาดในสัดส่วนเท่ากันคือ 50:50 โดยจะเน้นสร้างการรับรู้สู่ผู้บริโภคด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบ 360 องศา ทั้งการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ โดยมีพรีเซ็นเตอร์ “แจ๊ส ชวนชื่น” และภรรยา “แจง-ปุณณาสา” เป็นตัวแทนของคู่รักคนรุ่นใหม่สะท้อนคาแรกเตอร์สนุกสนานเพื่อกระตุ้นการบริโภคเชิงรุก รวมถึงการใช้สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างการเข้าถึง การจดจำแบรนด์ และกระตุ้นการรับรู้เพื่อเจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง โดยเพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างเป็นทางการในงาน “ครัวคุณต๋อย Expo” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ณ ห้างสรรพสินค้า เอ็มควอเทียร์

“บริษัทฯ เริ่มกระจายสินค้าผ่านพันธมิตรคือ กรูเม่ต์ มาร์เก็ต และเดอะมอลล์ทุกสาขา ตั้งแต่ปลายเดือน ก.พ. จากนั้นในช่วงกลางเดือน มี.ค. จะเริ่มจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรดชั้นนำทั่วไป เช่น เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, แม็คโคร, ท็อปส์, แม็กซ์ แวลู, วิลล่า มาร์เก็ต และแฟมิลี่ มาร์ท แบ่งสัดส่วนการจำหน่ายในกรุงเทพฯ ประมาณ 70-80% และต่างจังหวัด 20-30%”

นางจรีลักษณ์ กล่าวด้วยว่า เบื้องต้นผลิตภัณฑ์ “จิ้มแจ่ม” มี 5 สูตร ได้แก่น้ำจิ้มไก่, น้ำจิ้มไก่รสลิ้นจี่, ซอสพริกรสแซ่บ, ซอสพริกรสแซ่บเว่อร์ และน้ำจิ้มสุกี้สูตรต้นตำรับ จำหน่ายปลีกด้วยขนาดบรรจุ 220 กรัม และ 350 กรัม นอกจากนั้นยังมีขนาด 1 กิโลกรัม และ 5.5 กิโลกรัม เพื่อขายส่งโรงแรมและร้านอาหารทั่วไป โดยขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการปรับขนาดบรรจุภัณฑ์ให้เล็กลงเพื่อจำหน่ายผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่น

ปัจจุบันตลาดน้ำจิ้มและซอสพริกในเมืองไทยยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องปีละประมาณ 10% โดยปัจจัยหลักมาจากกลุ่มผู้บริโภคคนไทยส่วนใหญ่นิยมรับประทานอาหารรสชาติจัดจ้าน โดย Euromonitor, April 2015 คาดการณ์ว่ามีมูลค่าประมาณ 36,818.5 ล้านบาทในปี 2558 โดยหากจำเพาะที่ผลิตภัณฑ์ประเภทซอสปรุงรสบนโต๊ะอาหารมีมูลค่าประมาณ 18,094.5 ล้านบาท

“จิ้มแจ่ม ถือว่าอยู่ในตลาดซอสพริกและเครื่องปรุงรสอื่นๆ มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 1,060.1 ล้านบาท แบ่งเป็นซอสพริกประมาณ 403.7 ล้านบาท และเครื่องปรุงรสอื่นๆ ประมาณ 656.4 ล้านบาท เบื้องต้นตั้งเป้ายอดขายในปี 2559 ประมาณ 300 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งประมาณ 30% และจะเพิ่มเป็น 500 ล้านบาท พร้อมส่วนแบ่ง 50% ภายใน 3-5 ปี เนื่องจากในตลาดยังมีผู้ประกอบการน้อยราย โดยมีผู้เล่นรายใหญ่ครองตลาดอย่างชัดเจน ขณะที่บริษัทฯ พร้อมขยายการผลิตและออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีกหลายชนิด”

จุดเด่นของ “จิ้มแจ่ม” คือรสชาติที่กลมกล่อม มีสีสันสดจากธรรมชาติ และเนื้อน้ำจิ้มมีความละเอียดเข้มข้นสามารถนำไปใช้ในการหมัก หรือปรุงอาหารได้อย่างอเนกประสงค์ เพราะใช้พริกสูตรเฉพาะของบริษัทฯ ที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้นจากแหล่งผลิตที่มีการทำคอนแทรคฟาร์มมิ่งบนพื้นที่กว่า 5 พันไร่ในเขตภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยสามารถควบคุมมาตรฐานได้ตลอดกระบวนการผลิต รวมถึงสามารถรู้ปริมาณวัตถุดิบที่จะมีเข้าสู่โรงงาน ทำให้สามารถกำหนดกำลังการผลิตได้ตรงตามความต้องการของตลาดที่สูงขึ้นในทุกๆ ปี

ส่วนโรงงานตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ใน จ.นครสวรรรค์ โดยมีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากลด้วยเทคโนโลยีการเกษตรที่เป็นที่ยอมรับจากประเทศเนเธอร์แลนด์ รวมทั้งได้รับมาตรฐานในการผลิตอาหารคุณภาพจากทั้ง GMP HACCP ISO2200 BRC และ EU Regulation โดยขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในประเทศจีน รวมทั้งมีแผนขยายเพิ่มในประเทศเวียดนามในอนาคตอันใกล้ เพื่อรองรับการเปิดตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น

นางจรีลักษณ์ กล่าวด้วยว่า ในปี 2558 บริษัทฯ มียอดขายรวมประมาณ 1 พันล้านบาท เติบโตประมาณ 20% โดยมีสัดส่วนรายได้หลักจากการส่งออก 80% แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้เท่ากันระกว่างการส่งออกวัตถุดิบพริกและกระเทียมป้อนโรงงานผลิตอาหารและเครื่องปรุงรสทั่วโลก และการเป็นผู้ผลิตเครื่องปรุงรสภายใต้แบรนด์ของลูกค้าใน โดยมีตลาดส่งออกหลักกว่า 30 ประเทศในทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง จีน และอื่นๆ ส่วนอีก 20% เป็นการจำหน่ายในประเทศไทยด้วยการผลิตวัตถุดิบพริกและกระเทียมป้อนโรงงานผลิตอาหารและเครื่องปรุงรส

“ในปี 2559 บริษัทฯ คาดว่าจะมีผลประกอบการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เนื่องจากวัตถุดิบประกอบอาหารของไทยและกลุ่มประเทศภูมิภาคอาเซียนมีคุณภาพที่ดีและมีความต้องการสูงจนทำให้มีแนวโน้มขาดแคลนในตลาดโลก สังเกตได้จากคำสั่งซื้อสินค้าในเดือนมกราคมที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียวมีสูงถึง 10 ล้านตัน จากปรกติที่ต้องใช้เวลา 6 เดือน” นางจรีลักษณ์ กล่าวในที่สุด



กำลังโหลดความคิดเห็น