ผู้จัดการรายวัน 360 - “ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น” เดินหน้ารุกตลาดปั้นสินค้าไลฟ์สไตล์แฟชั่น 3 แบรนด์ “แพนดอร่า”, “มารีเมกโกะ” และ “โจนาธาน แอดเลอร์” เติบโตอย่างต่อเนื่องสวนกระแสเศรษฐกิจตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งเป้าปีนี้เติบโต 40% สู่ยอดขายรวม 600 ล้านบาท พร้อมวางกลยุทธ์สร้างโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง
นายธนพงษ์ จิราพาณิชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์แฟชั่นชั้นนำของโลก 3 แบรนด์ ได้แก่ “แพนดอร่า” (PANDORA) จิวเวลรีและเครื่องประดับชื่อดังจากเดนมาร์ก, “มารีเมกโกะ” (MARIMEKKO) เสื้อผ้าแฟชั่นและของใช้ในบ้านจากฟินแลนด์ และ “โจนาธาน แอดเลอร์” (JONATHAN ADLER) ของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ลักชัวรีจากสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ผลประกอบการในปี 2558 มีรายได้รวม 420 ล้านบาท เติบโต 5% มาจากการเติบโตของยอดขายของสาขาเดิมและการเพิ่มสาขาใหม่ ซึ่งถือว่าเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอด 5 ปีตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจ โดยมั่นใจว่าในปี 2559 จะเติบโตอีกอย่างแน่นอน 40% ด้วยการใช้กลยุทธ์หลายๆ อย่างร่วมกัน
แบรนด์ที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีนี้คือ “มารีเมกโกะ” (MARIMEKKO) เสื้อผ้าแฟชั่นและของใช้ในบ้านจากฟินแลนด์ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภทเติมเต็มไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน โดยเพิ่งเปิดตัวในเมืองไทยเมื่อกลางปีที่แล้วที่เซ็นทรัล เวิลด์ เพียงแห่งเดียว ในช่วง 6 เดือนแรกมียอดจำหน่ายกว่า 20 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้าเติบโตเป็น 70 ล้านบาทจากการขยายสาขาเพิ่มอย่างน้อย 2 สาขา
นายธนพงษ์ กล่าวว่า ปีนี้เราได้วางกลยุทธ์หลักเพื่อ “การสร้างโครงสร้างธุรกิจพื้นฐานต่อเนื่อง” รองรับการเติบโตแบบยั่งยืนในระยะยาวไว้ด้วยกัน 3 ประการ โดยกลยุทธ์แรกที่เราใช้ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจคือ การสร้างพอร์ต ฟอลิโอที่เกื้อหนุนกันให้แก่บริษัท โดยเลือกแบรนด์ไลฟ์สไตล์แฟชั่นที่มีกลุ่มเป้าหมายในระดับเดียวกันคือ กลุ่มกลางบนไปจนถึงลักชัวรี โดยมองแบรนด์ที่มีสินค้าช่วยเสริมซึ่งกันและกัน รวมทั้งครอบคลุมรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันของกลุ่มเป้าหมายคนเมืองรุ่นใหม่วัยทำงานเป็นหลัก
“กลุ่มนี้มีความต้องการมากขึ้นตามการเติบโตของสังคมเมืองเป็น Big Trend ในไทย เพราะมีรายได้ต่อหัวที่สูงขึ้นและต้องการใช้ชีวิตมีสไตล์ทันสมัยหรูหรา อาหารมื้อดีๆ เครื่องแต่งกายมีสไตล์ อาศัยในคอนโดมิเนียม ชอบสังสรรค์ อยากให้เพื่อนมาแฮงก์เอาต์ในห้องเก๋ จะเห็นได้ว่าการมองภาพธุรกิจของผมเป็นเกมระยะยาว ดังนั้น จึงวาง โจนาธาน แอดเลอร์ ให้เป็นแบรนด์ต่อยอด เพราะเป็นแฟชั่นโฮมที่ตอบโจทย์ความเป็นลักชัวรีไลฟ์สไตล์ประเภทนานๆ ทีจะซื้อครั้งหนึ่ง โดยในปีที่ผ่านมาทำยอดขายได้กว่า 10 ล้านบาท ส่วนในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายราว 30 ล้านบาท”
กลยุทธ์ที่ 2 คือ การลงทุนเพิ่มจำนวนสาขาเพื่อเพิ่มยอดจำหน่ายของทั้ง 3 แบรนด์ งบลงทุนขยายสาขารวม 40 ล้านบาท แบรนด์ล่าสุด “มารีเมกโกะ” จะเปิดสาขาใหม่ที่ ดิ เอ็มโพเรียม และสยามดิสคัฟเวอรี ส่วน “แพนดอร่า” เป็นรายได้หลักของธนจิราฯ ในปี 2558 มียอดจำหน่ายใน 22 สาขา เติบโต 45% ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลูกค้าชาวไทย 80% ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเติบโตของยอดขายเพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำเรื่อยๆ และในปีนี้จะขยายสาขาเป็น 26 สาขา เน้นกระจายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่เปิดขึ้นใหม่เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าชาวไทยได้ดียิ่งขึ้น
กลยุทธ์ที่ 3 คือ การตั้งราคาสินค้าของทุกแบรนด์ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านต่างกันไม่เกิน 5-10% ส่วนใหญ่ตอนนี้ราคาในประเทศไทยจะต่ำกว่าที่ฮ่องกง สิงคโปร์ 10-20% เพราะค่าเงินบาทที่อ่อนลง นอกจากนี้ สินค้ายังมีหลายระดับราคารวมทั้งมีสินค้า Entry Price Point ทำให้ลูกค้ารายได้ระดับปานกลางก็สามารถซื้อผลิตภัณฑ์แบรนด์ดังของเราได้ เช่น ชาร์มส์ (charms) ของแพนดอร่า ราคาเริ่มต้น 1,300 บาท ถุงผ้ามารีเมกโกะ ราคา 1,300 บาท, โจนาธาน แอดเลอร์ ก็มีสินค้าบนกิฟต์บาร์ราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ เช่น สมุดโน้ต 500 บาท ปากกาเซตละ 890 บาท เป็นต้น
“บริษัทฯ เน้นทำสินค้ากลุ่มไลฟ์สไตล์แฟชั่น จึงใช้หลักการเลือกการแบรนด์ที่ไม่ต้องอิงสินค้ากับซีซั่น หรือเปลี่ยนสินค้าในฤดูกาลใหม่ รวมทั้งไม่เน้นทำตลาดด้วยการลดราคามาตั้งแต่แรก ทั้งนี้ 94% ของสินค้าในสต็อกแพนดอร่าเป็นสินค้าขายดีตลอด ทำให้มีการเติบโตแบบสวนกระแส โดยเป้าหมายสำคัญในการดำเนินธุรกิจของเราคือ การนำกลุ่มบริษัทธนจิราฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2563 เพื่อความยั่งยืนในการทำธุรกิจ” นายธนพงษ์ กล่าวในตอนท้าย