ผู้จัดการรายวัน 360 - กลุ่มโรงแรม “แกรนด์ เซนเตอร์ พอยท์” ขยายการลงทุนใหม่ในซอยทองหล่อด้วยงบลงทุน 2 พันล้านบาท ก่อนรุกพัทยาใน 2-3 ปี หลังทำรายได้ 1.5 พันล้านบาทในปี 58 คาดปี 59 เติบโตขึ้น 10%
นางสุวรรณา พุทธประสาท กรรมการ บริษัท แอล แอนด์ เอช โฮเทล แมเนจเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ดำเนินงานโครงการโรงแรม 3 แห่ง ได้แก่ “แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เพลินจิต” ขนาด 277 ห้อง “แกรนด์ เซนเตอร์ ราชดำริ” ขนาด 497 ห้อง และ “แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เทอร์มินอล 21” ขนาด 462 ห้อง โดยในปี 2558 มีรายได้กว่า 1.5 พันล้านบาท จากอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 80% เติบโตขึ้น 10% โดยรายได้หลักกว่า 95% มาจากการเข้าพัก ส่วนที่เหลือเป็นการให้เช่าพื้นที่
ในปี 2559 บริษัทฯ มีแผนขยายการลงทุนด้วยงบประมาณไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาทในการก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่ใน ซ.สุขุมวิท 55 (ทองหล่อ) ภายใต้ชื่อ “แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท 55” ขนาด 442 ห้อง บนพื้นที่ใช้สอย 3 หมื่น ตร.ม. จากพื้นที่ทั้งหมด 3 ไร่ คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ประมาณเดือน พ.ย.59 โดยเบื้องต้นประเมินว่าภายในปีแรกจะมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 75% จากนั้นภายใน 2-3 ปียังจะมีการลงทุนเพิ่มบริเวณพัทยาเหนือ จ.ชลบุรี ภายใต้ชื่อ “แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท 55” ด้วยงบฯ ลงทุนประมาณ 2 พันล้านบาท
“การขยายโครงการโรงแรมใหม่ในย่านทองหล่อเนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพความเจริญที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งศูนย์การค้า คอมมูนิตีมอลล์ ร้านอาหารนานาชาติ ตลอดจนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ โดยที่พักส่วนใหญ่ในย่านนั้นมักเป็นรูปแบบของเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ในขณะที่มีโรงแรมระดับ 4-5 ดาวเพียง 3 แห่ง จึงทำให้มีโอกาสขยายตัวอีกมาก โดยคาดว่าจะช่วยสร้างรายได้รวมในปี 2559 เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10%”
นางสุวรรณากล่าวอีกว่า ปัจจุบันราคาที่ดินในซอยทองหล่อเฉลี่ยตารางวาละ 1.5 ล้านบาท การลงทุนดังกล่าวจึงเป็นการเช่าพื้นที่สัญญาระยะยาว 30 ปีเช่นเดียวกับ 3 โครงการแรก เนื่องจากมีความคุ้มค่าในการลงทุนมากกว่า โดยคาดว่าการลงทุนครั้งนี้จะใช้เวลาคืนทุนประมาณ 10-12 ปีเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ
“ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 8-9 พันล้านบาท คิดเป็นเงินลงทุนเฉลี่ยต่อห้องประมาณ 4 ล้านบาท โดยทุก 5 ปีจะมีการใช้งบประมาณ 40-50 ล้านบาทในการรีโนเวตโรงแรมแต่ละแห่ง ล่าสุดคือการใช้งบประมาณ 320 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 8 แสนบาทในการปรับปรุงห้องพัก ล็อบบี้ และห้องอาหารของ แกรนด์ เซนเตอร์ พอยท์ เพลินจิต จนแล้วเสร็จและเปิดให้บริการเมื่อเดือน พ.ย. 58 ซึ่งสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยห้องละ 500-700 บาท ส่วนในปี 2559 อาจมีการปรับราคาห้องพักเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8-10%”
นางสุวรรณากล่าวด้วยว่า ในปี 2559 บริษัทฯ มีนโยบายให้บริการภายใต้แนวคิด “Grande Your Stay” ที่เน้นย้ำถึงคุณค่าที่ทางแบรนด์ยึดถือคือ ความหรูหราของพื้นที่ (Space Luxury) ครบเครื่องเรื่องการใช้งานที่เรียบง่ายและสะดวกสบาย (Functional Simplicity) และการบริการอย่างตั้งใจ (Dedicated Service) เพื่อสร้างประสบการณ์ประทับใจให้ลูกค้าในการเข้าพัก โดยมอบการบริการสุดพิเศษพร้อมการต้อนรับและการบริการอย่างอบอุ่น รวมทั้งการเปิดตัวโครงการ “GCP Rewards” ที่มอบสิทธิประโยชน์มากมายแด่ลูกค้าที่สำรองห้องพักผ่านเว็บไซต์ของโรงแรมโดยตรง
ปัจจุบันโรงแรมมีสมาชิกในโครงการ “GCP Rewards” ประมาณ 2 พันราย ส่วนใหญ่ 85-90% เป็นชาวต่างชาติ ส่วนที่เหลือเป็นคนไทย โดยมีแผนเพิ่มสมาชิกอย่างน้อย 2-3 เท่าภายในปี 2559 เพื่อนำเสนอสิทธิพิเศษต่างๆ อาทิ ส่วนลดห้องพักสูงสุดถึง 55% การันตีราคาห้องพักที่ดีที่สุด ส่วนลดค่าอาหารในห้องอาหารของโรงแรมฯ รวมทั้งห้องอาหารในเครือสีฟ้าทั่วกรุงเทพฯ ตลอดจนส่วนลดพิเศษที่สปาชั้นนำที่มีรางวัลการันตีมากมายอย่าง Rarinjinda Wellness Spa และ Let’s Relax Spa สิทธิพิเศษเช็คอินและเช็คเอ้าท์ก่อนใครที่เคาน์เตอร์พิเศษ ตลอดจนบริการรับกระเป๋าตรงเวลา เป็นต้น
“แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์” เป็นกลุ่มโรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่ อัตราค่าที่พักเฉลี่ย 4.2 พันบาทต่อวัน กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ 60% เป็นนักธุรกิจและมีการพักระยะยาวเฉลี่ย 10% ที่เพลินจิต 15-20% ที่ราชดำริ และ 10% ที่เทอร์มินัล 21 ส่วนอีก 40% เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยมีการจองที่พักผ่านระบบออนไลน์ 50-60% จองผ่านเว็บไซต์โรงแรม 10% จองผ่านเอเยนต์ท่องเที่ยวและอื่นๆ 30%
นางสุวรรณากล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากโรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่ภายใต้แบรนด์ “แกรนด์ เซนเตอร์ พอยท์” แล้ว บริษัทฯ ยังบริหารโรงแรมระดับกลางภายใต้แบรนด์ “เซนเตอร์ พอยท์” อีก 4 แห่งคือ ประตูน้ำ, ชิดลม, บางรัก และสุขุมวิท 10 โดยในอนาคตอันใกล้ยังเตรียมแผนขยายการลงทุนโรงแรมราคาประหยัดเพิ่มขึ้นอีกเพื่อให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์