ก.พลังงานเร่งผลักดันโครงการขยายระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคเหนือ จาก อ.บางปะอินไปยัง จ.ลำปาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จาก จ.สระบุรีไปยัง จ.ขอนแก่น รวมมูลค่าการลงทุน 2 เส้นทางจำนวน 20,600 ล้านบาท หวังกดราคาขายปลีกลดต่ำลง 30-40 สต./ลิตร
พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยหลังการเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคเหนือระหว่างกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กับบริษัทขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) วันนี้ (21 ธ.ค.) ว่า โครงการดังกล่าวจะมีส่วนสำคัญในการลดต้นทุนการขนส่งน้ำมัน จากขณะนี้เน้นการขนส่งทางรถยนต์ซึ่งมีต้นทุนที่สูงกว่าการขนส่งทางท่อ 50% ดังนั้น อนาคตเมื่อท่อเส้นนี้เปิดใช้งานต้นปี 2562 จะมีผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในภาคเหนือลดต่ำลงได้ 30-40 สตางค์ต่อลิตร ขณะเดียวกันยังช่วยลดปัญหาการจราจรและผลกระทบสิ่งแวดล้อม
นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดี ธพ. กล่าวว่า ท่อเส้นเหนือ ธพ.ได้คัดเลือกผู้มาลงทุนพัฒนา ขณะนี้ได้ FPT เป็นผู้ดำเนินการแล้ว ส่วนท่อน้ำมันสายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ซึ่งจะต้องต่อขยายท่อเดิมของ บ.ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (แทปไลน์) จาก จ.สระบุรี-นครราชสีมา-ขอนแก่น รวมระยะทาง 337 กิโลเมตร (กม.) เงินลงทุน 1.31 หมื่นล้านบาท ขณะนี้มีผู้สนใจจะดำเนินการ 2 ราย คือ เอสซีกรุ๊ป กับ บมจ.ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น ซึ่งจะเร่งสรุปเพื่อให้เปิดบริการได้ในปี 2562 เช่นกัน
“การเจรจาต่อเชื่อมท่อกับแทปไลน์ยังไม่มีข้อยุติ ในจุดนี้ก็จะพยายามให้แทปไลน์ให้คำตอบเพราะไม่เช่นนั้นเอกชนที่มาเสนอลงทุนก็ยังไม่สามารถสรุปได้” อธิบดี ธพ.กล่าว
หม่อมราชวงศ์ ศุภดิศ ดิศกุล ประธานกรรมการ บ.FPT กล่าวว่า บริษัทฯ จะทำการต่อขยายจากระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อเดิมที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา โดยแบ่งการลงทุนเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 อ.บางปะอิน-จ.กำแพงเพชร ระยะทาง 350 กิโลเมตร และระยะที่ 2 จ.กำแพงเพชร-จ.ลำปาง ระยะทาง 220 กิโลเมตร โดยมีคลังน้ำมันปลายทางที่ จ.พิจิตร และ จ.ลำปาง ใช้งบประมาณในการลงทุนประมาณ 7,500 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2559 และก่อสร้างระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อและคลังน้ำมันให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2561 พร้อมเปิดบริการต้นปี 2562
