บอร์ด พกค.ที่มี “ประยุทธ์” เป็นประธาน เห็นชอบตั้งเป้าหมายส่งออกไทยปี 59 โต 5% พร้อมไฟเขียวเดินหน้า 7 ยุทธศาสตร์เพื่อช่วยผลักดันยอดส่งออก สั่งแก้ปัญหาคลัสเตอร์อัญมณี หวังดันเป็นเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้า พร้อมแก้ปัญหาคลัสเตอร์ธุรกิจบริการด้านสุขภาพและยานยนต์
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ (พกค.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่าที่ประชุมได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกปี 2559 เติบโต 5% ถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทายมาก แต่มั่นใจว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น โดยเศรษฐกิจโลกจะเติบโต 3.6%
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้เห็นชอบ 7 ยุทธศาสตร์ที่จะนำมาใช้ในการผลักดันการส่งออก ได้แก่ 1. การเปิดประตูการค้าและขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความตกลง TPP, RCEP, EU และ ASEAN 2. การเร่งรัดขยายตลาดส่งออกเชิงรุก โดยใช้ความต้องการตลาดเป็นตัวนำการผลิต 3. การส่งเสริมการค้าชายแดน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน 4. การส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปดำเนินธุรกิจและลงทุนในต่างประเทศ 5. การปรับโครงสร้างการค้าสู่การค้าบริการ เพื่อเป็นจักรกลใหม่ในการขับเคลื่อนการค้า โดยมีธุรกิจบริการที่ให้ความสำคัญ 6 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ธุรกิจบันเทิงและคอนเทนต์ ธุรกิจลอจิสติกส์ ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจบริการเกี่ยวกับการต้อนรับ และธุรกิจบริการวิชาชีพ 6.การส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ให้เป็นนักรบเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และ 7.การสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรมการส่งออก
นอกจากนี้ ได้มีการหยิบยกประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาของคลัสเตอร์อัญมณีและเครื่องประดับ คลัสเตอร์ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ และคลัสเตอร์ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากเป็นคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพและเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ หากปัญหาอุปสรรคได้รับการแก้ไขจะสามารถผลักดันให้เกิดรายได้เข้าประเทศได้มหาศาล
โดยอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ ในปี 2557 มีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นลำดับที่ 4 สร้างรายได้ 10,080 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 324,155 ล้านบาท แม้ว่าอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงในระดับนานาชาติ แต่ยังเสียเปรียบคู่แข่งสำคัญด้วยต้นทุนที่สูงกว่า โดยผู้ประกอบการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าวัตถุดิบ อากรนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ อีกทั้งยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานโดยเฉพาะช่างฝีมือ การแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังโดยการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการพิจารณายกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต ภาษีนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งการจัดหลักสูตรการศึกษาเพื่อผลิตบุคลากร จะทำให้ในปี 2563 ไทยจะส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก และยกระดับเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลกต่อไป
สำหรับคลัสเตอร์ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับประเทศด้วยจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนคนไข้ ประเทศที่มาเยือน และรายได้ ทำให้ปัจจุบันมีรายได้จากการรักษาพยาบาลคนไข้ชาวต่างชาติในโรงพยาบาลเอกชนไม่ต่ำกว่า 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลุ่มเป้าหมายที่ควรมุ่งเน้น คือ ผู้ป่วยต่างชาติที่เดินทางมารักษาพยาบาลในประเทศไทย ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 40 ของชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการทั้งหมด ปัญหาอุปสรรคหลักของธุรกิจนี้ คือ การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ประกอบด้วย แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ และบุคลากรที่ช่วยดูแลผู้ป่วยจากต่างประเทศที่ใช้ภาษาต่างประเทศ ที่ประชุม พกค.จึงเห็นควรให้มีการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยการแก้ไขปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ในระยะสั้น ได้แก่ การออกใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และใบอนุญาตชั่วคราวให้แก่แพทย์จากต่างประเทศ เพื่อมาเสริมบุคลากรที่ขาดแคลนเป็นการชั่วคราว ส่วนการแก้ไขในระยะยาวจะกำหนดแผนการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ให้มีสัดส่วน 9 -10 คนต่อประชากร 10,000 คน หรือต้องผลิตแพทย์ให้ได้ประมาณปีละ 7,500 คน
ส่วนของคลัสเตอร์ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2558 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้หารือเพิ่มเติมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนนั้น ที่ประชุม พกค.ได้เสนอให้มีการพิจารณาการตีความประเภทยานยนต์เพื่อประเมินพิกัดภาษีศุลกากรขาเข้าที่ชัดเจน และในส่วนของปัญหาเกี่ยวกับสหภาพแรงงานได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจแก่นักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนร่วมกันจัดทำแผนการผลิตบุคลากรเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมในระยะยาว