ผู้จัดการรายวัน 360 - “กราเทีย” ซุ่ม 2 ปีศึกษาตลาดสวิตช์ไฟ พร้อมใช้งบ 30 ล้านบาทวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ก่อนสบช่องว่างแยกเซกเมนต์ใหม่ “สวิตช์ไฟระบบสัมผัส ควบคุมด้วยรีโมตคอนโทรล” ทุ่ม 100 ล้านบาททำตลาดในประเทศ หวังส่วนแบ่ง 10% จากตลาดรวมในประเทศ 3 พันล้านบาท พร้อมแยกงบ 30 ล้านบาทเจาะตลาดเออีซี ประเดิมโปรเจกต์แรกที่ “โนโวเทล เมียนมาร์” ก่อนรุกเข้าเวียดนาม และลาว
นายอัครพันธ์ จันทร์เอี่ยม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กราเทีย อิเล็คทริค (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ใช้เวลาประมาณ 2 ปีในการศึกษาตลาด พร้อมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สวิตช์ไฟและปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้ารูปแบบใหม่ในระบบสัมผัสเป็นรายแรกของประเทศไทยภายใต้ชื่อ “กราเทีย” (GRATIA) หลังจากพบช่องว่างในการทำตลาดที่มีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งแทบทั้งหมดล้วนเป็นสวิตช์ไฟแบบเก่าและยังไม่มีรายใดทำตลาดสวิตช์ไฟระบบสัมผัสมาก่อน จึงใช้เงินทุน 1 ล้านบาทจดทะเบียนบริษัทฯ เมื่อเดือน ก.ค. 58 โดยมีแผนเพิ่มทุนเป็น 20 ล้านบาทในปี 2559
ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ใช้งบประมาณในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 20-30 ล้านบาท โดยใช้เทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนี และอิตาลี ขณะที่การผลิตใช้โรงงานผลิตในลักษณะ OEM จากประเทศจีน โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้ควบคุมการผลิตทุกขั้นตอนด้วยกำลังการผลิต 1-2 หมื่นตัวต่อเดือน รวมทั้งหมด 3 ซีรีส์ ได้แก่ 1. รุ่น Top Series รองรับตลาดพรีเมียมระดับบีบวกขึ้นไป กรอบสวิตช์ผลิตจากอะคริลิก สามารถกันน้ำได้ขณะที่มือเปียกน้ำ รองรับด้วยระบบรีโมตคอนโทรล ควบคุมระยะปิด-เปิด ได้ไกลถึง 20 เมตร รวมถึงเปิด-ปิดผ่านโทรศัพท์มือถือทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android
2. รุ่น Standard Series ขนาดบล็อก 3x3 นิ้ว รองรับด้วยระบบรีโมตคอนโทรล ควบคุมระยะปิด-เปิดได้ไกลถึง 20 เมตร เน้นตลาดระดับกลางขึ้นไป เหมาะสำหรับบ้านใหม่ คอนโดมิเนียม และโรงแรม 3. รุ่น Standard Series ขนาดบล็อก 4x2 นิ้ว รองรับตลาดล่างถึงบน เหมาะสำหรับบ้านเก่าที่ต้องการเปลี่ยนการใช้งานด้วยระบบรีโมตคอนโทรล โดยสามารถเปลี่ยนสวิตช์ไฟเดิมออก และใส่สวิตช์ “กราเทีย” แทนได้ทันที
“ตลาดสวิตช์ไฟบ้านเก่าเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องทำการตลาดอย่างหนัก เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้สวิตช์ไฟระบบสัมผัสและใช้งานผ่านรีโมตคอนโทรล ซึ่งเหมาะกับผู้สูงวัยที่ต้องเดินเปิด-ปิดไฟในเวลากลางคืน รวมถึงบ้านในต่างจังหวัดที่แยกตัวบ้านกับห้องน้ำออกจากกัน ตลอดจนบ้านสมัยใหม่ที่เน้นใช้อุปกรณ์ที่มีความทันสมัยด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ”
เบื้องต้นบริษัทฯ ใช้งบประมาณการตลาด 100 ล้านบาทเพื่อเน้นสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคทราบถึงความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 3-6 เดือน โดยเน้นทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ตลอดจนการร่วมออกบูทงานแสดงสินค้าต่างๆ พร้อมภาพยนตร์โฆษณาความยาว 30 วินาที และ 15 วินาที โดยมีศิลปินหนุ่ม “เรย์ แมคโดนัลด์” เป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อสื่อถึงไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่
นายอัครพันธ์กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ใช้การจัดจำหน่ายผ่าน 3 ช่องทาง คือ การขายตรงเข้าโครงการบ้าน คอนโดมิเนียม บริษัทรับสร้างบ้าน และบริษัทดีไซเนอร์ชั้นนำ รวมทั้งการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วประเทศในสัดส่วน 50% ส่วนอีก 50% เป็นการจำหน่ายปลีกผ่านหน้าโชว์รูมของบริษัทฯ จากนั้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2559 จะเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด ทั้งในส่วนของโฮมโปร, โฮมเวิร์ค, พาวเวอร์ บาย และอื่นๆ
ปัจจุบันบริษัทฯ มีตัวแทนจำหน่ายในกรุงเทพฯ และปริมณฑลอีก 30 แห่ง และเฮาส์แวร์ขนาดใหญ่อีก 8 แห่งทั่วประเทศ เช่น เชียงใหม่ นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี ระยอง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังใช้งบฯ ประมาณ 20 ล้านบาทลงทุนจัดตั้งโชว์รูมแห่งแรกบนถนนรัชดาภิเษก จากนั้นในปี 2559 มีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 10 แห่งทั่วประเทศในลักษณะของแฟรนไชส์รายละ 3 แสนบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่เดือน พ.ย.ศกนี้เป็นต้นไป โดยระยะยาวมีแผนลงทุนก่อสร้างโรงงานมูลค่า 30-50 ล้านบาท บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ย่านลำลูกกา จ.ปทุมธานี
“บริษัทฯ คาดว่าในปีแรกจะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 100 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2560 จะเพิ่มเป็น 300 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งจากตลาดรวมประมาณ 10% นอกจากนั้นยังมีการจัดงบประมาณการตลาด 30 ล้านบาทเพื่อทำตลาดในกลุ่มประเทศเออีซี โดยขณะนี้เริ่มมีการร่วมมือกับผู้ประกอบธุรกิจท้องถิ่นในประเทศพม่าทำตลาดแล้วในโครงการโรงแรมในเครือโนโวเทล จากนั้นจะเริ่มศึกษาช่องทางตลาดในประเทศเวียดนามและลาวเป็นลำดับต่อไปเพื่อให้สามารถทำยอดขายต่างประเทศได้ 100 ล้านบาทในปี 2559”