xs
xsm
sm
md
lg

“มาลี” ผนึก ตปท.รุก AEC หนีไทยแข่งดุ-ศก.โตช้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ฉัตรชัย บญรัตน์
“มาลีสามพราน” หนีตลาดน้ำผลไม้ในไทยแข่งขันรุนแรง ภาพรวมเศรษฐกิจโตช้า เคลื่อนทัพสู่ต่างประเทศชูกลยุทธ์ร่วมทุนท้องถิ่น พุ่งเป้าหมายตลาดเออีซี ประเดิมผนึกกลุ่มมอนเดฟิลิปปินส์ ผุดบริษัทร่วมทุนลุยตลาดเครื่องดื่ม

นายฉัตรชัย บุญรัตน์ ประธานกรรมการ บริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีนโยบายที่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศมา 2-3 ปีแล้ว ด้วยกลยุทธ์การร่วมทุนกับคนท้องถิ่นเพื่อขยายธุรกิจและการเติบโตขององค์กร อีกทั้งยังรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีอีกด้วย โดยพิจารณาประเทศที่มีศักยภาพและมุ่งเน้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนในเบื้องต้น เช่น อินโดนีเซีย พม่า เวียดนาม เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีสินค้าของมาลีจำหน่ายอยู่แล้วผ่านดิสทริบิวเตอร์

ล่าสุดคือการร่วมทุนกับบริษัท มอนเด นิสชิน คอร์ปอเรชัน ของฟิลิปปินส์ ตั้งบริษัทฯ ร่วมทุนชื่อว่า บริษัท มอนเด มาลี เบฟเวอเรจ คอร์ปอเรชั่น ในฟิลิปปินส์ โดยทางมาลีถือหุ้น 49% ทางมอนเดถือหุ้น 49% และบุคคลอื่นอีก 2% จากทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 100 ล้านเปโซ หรือ 75 ล้านบาท

“การร่วมทุนกับทางฟิลิปปินส์เพราะว่า 1. ตลาดฟิลิปปินส์คล้ายกับตลาดเมืองไทย คือมีประชากรใกล้เคียงกัน ไทยมี 70 ล้านคน แต่ฟิลิปินส์มีมากกว่า 100 ล้านคน เป็นอันดับที่สองในเออีซี และในช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ภาพรวมเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์เติบโต 7% มากกว่าไทยที่ช่วงหลังโตน้อยมากแค่ 3% เท่านั้นเอง ซึ่งการร่วมทุนกับมอนเดที่มีจุดแข็งทางด้านการทำตลาด วิจัยพัฒนาสินค้า ลอจิสติกส์ การจัดจำหน่าย การกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งเพราะฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีเกาะมากกว่า 7,000 เกาะ ดังนั้น ลอจิสติกส์ต้องมีประสิทธิภาพ มีช่องทางมากมายทั้งโมเดิร์นเทรดและเทรดิชันนัลเทรด และจุดแข็งของมาลีที่มีองค์ความรู้ด้านเครื่องดื่ม น่าจะทำให้บริษัทร่วมทุนเติบโตได้ไม่ยาก” นายฉัตรชัยกล่าว

นายฉัตรชัยกล่าวด้วยว่า ตลาดน้ำผลไม้ในไทยแข่งขันรุนแรง จึงต้องใช้เงินทำตลาดมาก การที่จะใช้งบประมาณเพื่อทำให้เติบโตในไทย สู้เราเอาเงินลงทุนไปใช้ในต่างประเทศที่ยังเป็นตลาดใหม่และมีโอกาสเติบโตมากและมีการแข่งขันน้อยกว่า น่าจะดีกว่าในปริมาณเงินทุนที่เท่ากันแต่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

นางสาวรุ่งฉัตร บุญรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของมาลีสามพราน กล่าวว่า ตลาดฟิลิปปินส์เป็นตลาดที่ใหญ่มีมากกว่า 100 ล้านคน และกลุ่มระดับชนชั้นกลางเติบโตดีเป็นตลาดใหญ่ มี 21 ล้านคน จากปี 2552 ที่กลุ่มนี้มีเพียง 9 ล้านคนเท่านั้น ขณะที่มูลค่าธุรกิจเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์มีมากกว่า 2 แสนล้านบาท ส่วนไทยมี 1.8 แสนล้านบาท และอัตราการบริโภคเครื่องดื่มน้ำผลไม้คนฟิลิปปินส์ยังน้อยกว่าไทย ไทยบริโภคเฉลี่ย 5 ลิตรต่อคนต่อปี

ตลาดเมืองไทยแข่งขันรุนแรง แต่ที่ฟิลิปปินส์ยังแตกต่างกับเรา ตลาดเขาเพิ่งเริ่ม เมืองไทยมีเครื่องดื่มมากกว่า 1,000 แบรนด์ แต่ที่นั่นมีแค่หลักร้อยกว่าแบรนด์เท่านั้นเอง และก็ยังไม่มีใครที่เป็นผู้นำตลาดที่แข็งแกร่งด้วย รายใหญ่เช่น เดลมอนเต้ ซึ่งตลาดน้ำผลไม้ในไทยมีมากกว่า 12,000 ล้านบาท แต่ที่ฟิลิปปินส์มีประมาณ 8,000 ล้านบาท หรือตลาดนมที่ไทยมากกว่า 40,000 ล้านบาท แต่ที่ฟิลิปปินส์แค่ 5,000 ล้านบาทเท่านั้น นั่นหมายความว่าเป็นตลาดที่มีโอกาสอย่างมาก

“เราคาดว่าจะเปิดตัวสินค้าใหม่ที่ทำการวิจัยร่วมกัน เปิดตัวต้นปีหน้า นอกจากนั้น ในช่วงแรกเราจะใช้กำลังผลิตในไทยส่งไปจำหน่ายก่อน เปิดกว้างเครื่องดื่มทุกอย่างไม่ใช่แค่น้ำผลไม้ ตั้งเป้าหมายยอดขายในฟิลิปปินส์ช่วง 2 ปีแรกกว่า 1,000 ล้านบาท และในช่วง 3-5 ปีจะมียอดขายเท่ากับประเทศไทย โดยปีที่แล้วมาลีมียอดขายรวมประมาณ 4,717 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 5,000 ล้านบาท หรือเติบโต 10%” นางสาวรุ่งฉัตรกล่าว

ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้หลักของมาลีอยู่ที่ น้ำผลไม้ 100% สัดส่วนยอดขาย 60% โออีเอ็ม 30% และอื่นๆ 10% ซึ่งมาลีมีส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มพรีเมียม 100% ประมาณ 25% ขณะที่สัดส่วนรายได้มาจากในประเทศ 75% และต่างประเทศ 25% ตั้งเป้าหมายจะเท่ากันคือ 50% ภายใน 5 ปีจากนี้ และช่วง 3 ปีนี้ใช้งบ 300 ล้านบาทในการปรับปรุงโรงงาน

สำหรับตลาดเครื่องดื่มน้ำผลไม้ในไทยแบ่งเป็นหลายกลุ่ม คือ กลุ่ม 100% เติบโต 5% กลุ่มระดับกลางเติบโต 10% และกลุ่มอีโคโนมีเติบโต 10%

นายเฮนรี่ โซแซนโต้ Executive Vice President บริษัท มอนเด นิสชินฯ กล่าวว่า ด้วยศักยภาพทั้งสองบริษัทจะทำให้บริษัทร่วมทุนสามารถดำเนินธุรกิจได้ดี ซึ่งเราตั้งเป้าหมายเปิดตัวสินค้าตัวแรกและเริ่มจัดจำหน่ายในฟิลิปปินส์ต้นปี 2559 และจะมีสินค้าใหม่ๆ มากระตุ้นตลาดต่อเนื่อง ทำให้นิสชินสามารถขยายกลุ่มสินค้าของบริษัทฯ สู่แคทิกอรีที่มีศักยภาพสูงได้ จากเดิมที่องค์กรตั้งมานานกว่า 76 ปี มีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ รายได้หลักคือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แบรนด์นิสชิน เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 76% และเป็นผู้นำตลาดบิสกิตด้วยส่วนแบ่งกว่า 35% และแครกเกอร์ เป็นต้น และมีเครือข่ายช่องทางมากกว่า 200,000 ช่องทางสินค้าที่จำหน่ายในไทย เช่น แครกเกอร์แบรนด์ว้อยซ์



กำลังโหลดความคิดเห็น