คัมภีร์ปั้นเด็ก “โค้ชเฮง” สูตรสำเร็จ “ฉลามชล”

ASTV ผู้จัดการรายวัน - ชลบุรี เอฟซี ได้รับการยกย่อง เรื่องการพัฒนาเยาวชน สร้างแข้งอนาคตไกลก้าวติดทีมชาติมาแล้วหลายราย ซึ่งรากฐานทั้งหมดเกิดจากชายที่ชื่อ “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล ประธานพัฒนาเทคนิคของทีม ที่นำประสบการณ์ที่สั่งสมมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะและกุนซือ จากการตระเวนดูงานทั่วโลกทั้ง เยอรมนี ออสเตรีย โปรตุเกส สเปน เนเธอร์แลนด์ และ ญี่ปุ่น มาประยุกต์เป็น “คัมภีร์ลูกหนัง” ให้กับทัพ “ฉลามชล” ซึ่งเจ้าตัวการันตีว่าโครงสร้างนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในระดับ ทีมชาติไทย เลยทีเดียว

โดย “โค้ชเฮง” เกริ่นถึงโครงสร้างการพัฒนานักเตะในอะคาเดมี่ของ ชลบุรี เอฟซี ว่า ใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อปี โดยจะแบ่งการฝึกซ้อมเป็น 3 ช่วงอายุ ตั้งแต่ 10-18 ปี และมีการประเมินทุกๆ 3-6 เดือน ว่าใครจะได้ไปต่อหรือไม่ ซึ่งเมื่อจบหลักสูตรอายุครบ 18 ปี จะเป็นตัวชี้วัดว่าใครจะได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของทีม ซึ่งทางสโมสรตั้งเป้าว่าจะมีผู้เล่นอย่างน้อยปีละ 6-8 คน ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้อย่างเต็มตัว ซึ่งการฝึกซ้อมตาม “คัมภีร์ลูกหนัง” ของกุนซือมากประสบการณ์ มีดังนี้

อายุ 10-12 ปี : จะเป็นช่วงที่ยังไม่สามารถประเมินอะไรได้มาก ขั้นแรกต้องดูว่าตัวเด็กมีความสุขกับการเล่นฟุตบอลหรือไม่ มีเซนส์ฟุตบอลแค่ไหน ตลอดจนดู พ่อ-แม่ ว่าตัวสูงขนาดไหน และตั้งใจอยากจะให้ลูกเป็นนักฟุตบอลขนาดไหน ซึ่งถ้าเด็กมีความชอบก็จะอยู่กับเพื่อนร่วมทีมได้ ส่วนการฝึกซ้อมนั้นจะไม่เยอะมาก แบ่งเป็นปีละ 5 หัวข้อหลัก เน้นฝึกทักษะพื้นฐาน 75 เปอร์เซ็นต์ คือ การเลี้ยง การส่ง การยิงประตู และการพลิกหลอก ราว 1-2 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรพิเศษสำหรับแก้ไขข้อบกพร่องของแต่ละคนด้วยเช่นกัน

ส่วนปีต่อไปจะเน้นให้ซึมซับเรื่องเทคนิคเฉพาะตัว เช่น การส่งลูกเท้าที่ไม่ถนัด วิธีการเคลื่อนที่มารับบอล เคลื่อนที่หนีคู่แข่ง ทักษะการเข้าช่วยเพื่อนร่วมทีม ว่าต้องซัพพอร์ทอย่างไร มุมไหน ต้องให้เสียงอย่างไร บางทักษะต้องใช้เวลาฝึกถึง 2 ปี ส่วนเรื่องร่างกายนั้นยังไม่เน้นมาก เนื่องจากกระดูกยังอ่อน โค้ชจะมีการบ้านให้เด็กไปจับคู่ดึงข้อและโหนบาร์ 10-12 ครั้งต่อวัน รวมถึง กระโดดขึ้นแนวตรงและแนวดิ่งเพื่อเสริมสร้างความสูง

อายุ 13-15 ปี : ผู้เล่นช่วงนี้นอกจากการฝึกพื้นฐานแล้ว จะต้องเข้าโปรแกรมที่ยากขึ้น โดยเน้นเรื่องของเกมรับ 3 ปีเต็ม แบ่งเป็น เกมรับเฉพาะตัว 1 ปี เกมรับเป็นกลุ่ม 1 ปี และเกมรับเป็นทีม 1 ปี รวมถึงการสร้างสมรรถภาพของร่างกาย พัฒนาความเร็ว การคาดการณ์ล่วงหน้า การคิดให้รวดเร็ว โดยฝึกการเคลื่อนไหวต่างๆในที่แคบซึ่งจะทำให้รวดเร็วขึ้น ที่สำคัญโค้ชจะเน้นความสำคัญเรื่องการพัฒนาทางสรีระของนักเตะเป็นหลัก เพราะจะเป็นช่วงที่กระดูกยืด ต้องดูแลใกล้ชิด หากฝึกผิดรูปแบบหรือหักโหมเกินไปจะเสียนักบอลไปทันที

อายุ 16-18 ปี : ผู้เล่นช่วงนี้จะหลุดจากวงโคจรการประเมินและคัดออก โดยจะเข้าโปรแกรมการฝึกซ้อมตามแบบทีมชุดใหญ่ ซึ่งจะเหลือหัวข้อใหญ่เพียง 2 ข้อ คือ เกมรุก และเกมรับ แต่จะเป็นการลงลึกรายละเอียดของเกมให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น จังหวะการเข้าแย่ง การเข้าซ้อน แทคติกและแผนการเล่นต่างๆ การเปลี่ยนจากรุกเป็นรับให้รวดเร็ว ต้องรับตรงไหนของสนาม กดดันจุดไหน การเล่นเกมรุก มีแบบใดบ้าง ทะลุทะลวงตรงกลาง รุกทางปีก ขึ้นซ้ายจบขวา ขึ้นขวาจบซ้าย หรือเล่นแบบไดเร็คเพลย์ นอกจากนี้แต่ละคนจะมีโปรแกรมฝึกซ้อมพิเศษเพื่อพัฒนาในด้านร่างกายหลังซ้อม เช่น ฝึกสปีด ด้วยการวิ่ง ฝึกความแข็งแกร่ง ด้วยเวทเทรนนิง เป็นต้น เมื่อจบหลักสูตร อายุ 18 ปี จะถึงจุดสำคัญของอาชีพว่าจะได้เซ็นสัญญากับทีมหรือต้องปล่อยตัวออกไป

ฝึกซ้อมต่างแดน : ทีมจะเปิดโอกาสเด็กที่มีศักยภาพได้ลัดฟ้าไปฝึกซ้อมและเก็บตัวต่างแดน กับสโมสรที่เป็นพันธมิตรของทีม ทั้งในเอเชียและยุโรป เพื่อเก็บประสบการณ์และการตัดสินใจในเกมระดับสูง แต่มีข้อแม้ว่าต้องผ่านเกณฑ์ การลงเล่นเกมระดับนานาชาติ ตามที่สโมสรส่งไปแข่ง หรือมีทีมต่างประเทศเดินทางมาฟาดแข้ง จำนวนนัดเท่ากับอายุของตนเองจึงจะมีสิทธิ์ โดยการส่งไปฝึกแต่ละครั้ง ทีมจะไม่มีน้ำพริก หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไปให้ เพื่อให้เด็กได้เจอกับประสบการณ์จริงหากในอนาคตต้องไปเล่นที่ต่างประเทศ นอกจากนี้ทางสโมสรยังจ้างโค้ชสอนภาษาอังกฤษ ให้กับเด็กทุกชุด เพื่อให้มีการสื่อสารที่ดี ขณะที่เกมระดับในประเทศจะมีการกำหนดจำนวนนัดไม่ให้เกิน 15-20 นัดต่อปีตามระดับอายุ เนื่องจากมองว่า ถ้าลงเกมเยอะเกินไปจะทำให้ผู้เล่นบาดเจ็บ และไม่มีเวลาในการฝึกซ้อม ถ้ารายใดครบแล้วจะให้คนอื่นขึ้นมาแทน พร้อมเก็บสถิติทุกเกมในทุกรุ่น

* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!***