xs
xsm
sm
md
lg

“พาณิชย์” จับมือธนาคารโลกช่วย SMEs ดันธุรกิจกว่า 2 ล้านรายเข้าถึงแหล่งเงินทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจับมือธนาคารโลกติวเข้มเอสเอ็มอีเตรียมความพร้อมรองรับการบังคับใช้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจในเดือน ก.ค. 59 เผยจะช่วยปลดล็อกเอสเอ็มอีกว่า 2 ล้านรายเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยใช้สังหาริมทรัพย์มาเป็นหลักประกันขอกู้เงิน คาดยังส่งผลดีต่ออันดับความง่ายในการทำธุรกิจดีขึ้นแน่

น.ส.ผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ร่วมมือกับธนาคารโลกในการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ... ที่จะมีผลบังคับใช้ประมาณเดือน ก.ค. 2559 โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับและติดตามผลการเตรียมความพร้อมรองรับภารกิจตามกฎหมาย การจัดตั้งสำนักงานทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ เพื่อรับจดทะเบียนแก้ไขรายการและยกเลิกการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ เป็นคลังข้อมูลการจดทะเบียนหลักประกัน และผู้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้บังคับหลักประกัน เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบดูได้ รวมถึงยกร่างกฎหมายลูก ประกาศ คำสั่งกระทรวงฯ และประกาศกรมฯ เพื่อรองรับการปฏิบัติงานตามกฎหมาย

ทั้งนี้ กรมฯ ยังได้เตรียมพร้อมการจดทะเบียนหลักประกันทางออนไลน์แบบเรียลไทม์ เพื่อให้สามารถแจ้งข้อมูลเข้าระบบได้ทันที, สร้างความเข้าใจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้ให้หลักประกัน (ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและเล็ก) ผู้รับหลักประกัน (สถาบันการเงิน) รวมถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทราบถึงทางเลือกใหม่ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยจะจัดสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าวในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ อีกทั้งยังร่วมมือกับธนาคารโลก วางระบบด้านทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจด้วย

นายชัยณรงค์ โชไชย ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจุบันเอสเอ็มอีไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากมาก เพราะไม่มีหลักทรัพย์ที่สามารถนำไปเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินได้ แต่การมีกฎหมายหลักประกันฯ จะทำให้เอสเอ็มอีสามารถนำทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์มาใช้เป็นหลักประกันในการขอกู้เงินกับสถาบันการเงินได้ ทั้งกิจการ, สิทธิเรียกร้อง, สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น เครื่องจักร สินค้าคงคลัง วัตถุดิบที่ผลิตสินค้า, ทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นการปลดล็อกการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเอสเอ็มอีกว่า 2 ล้านราย จากปัจจุบันที่มีเอสเอ็มอีทั่วประเทศราว 2.8 ล้านราย

“กฎหมายฉบับนี้นอกจากจะทำให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยการนำทรัพย์สินต่างๆ มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยที่ยังสามารถนำหลักทรัพย์ไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจได้ และทำให้ไม่ต้องกู้เงินนอกระบบ ลดต้นทุนด้านการเงิน เช่น ดอกเบี้ยต่ำ ลดความเสี่ยงด้านสินเชื่อของสถาบันการเงิน และยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อการจัดอันดับความยากง่ายในการเริ่มต้นทำธุรกิจ ขณะเดียวกัน จะมีการลงทุนและขยายการลงทุนมากขึ้น มีการจ้างงานมากขึ้น เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะดีขึ้น คาดว่าในปีแรกที่กฎหมายมีผลบังคับใช้จะมีเอสเอ็มอีใช้ประโยชน์จากกฎหมายนี้ราว 10% ของทั้งหมดกว่า 2.8 ล้านราย” นายชัยณรงค์กล่าว

นางฟรานซิส อีเลน แม็กเอียเชิน ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักประกันทางธุรกิจ บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (ไอเอฟซี) หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารโลก กล่าวว่า กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจฯ นอกจากทำให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังสร้างความโปร่งใสในภาคการเงินด้วยระบบทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ แต่จนถึงขณะนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าอันดับของไทยใน Ease of Doing Business 2016 จะดีขึ้นหรือไม่ เพราะมีเกณฑ์ในการจัดอันดับ 10 ข้อ ซึ่งการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเอสเอ็มอีเป็นหนึ่งในเกณฑ์ดังกล่าว คาดว่าเมื่อกฎหมายบังคับใช้แล้วไทยจะได้คะแนนในเกณฑ์ข้อนี้มากขึ้นแน่นอน


กำลังโหลดความคิดเห็น