เผยภาพรวมธุรกิจอีเวนต์ฟื้นตัวแต่ยังไม่หวือหวานัก เหตุกำลังซื้อยังชะลอตัว คาดตลาดรวมโต 5% คิดเป็นมูลค่า 1.23 หมื่นล้านบาท ชูรถยนต์-สื่อสารใช้งบฯ สูงสุด ส่วนสินค้าอุปโภค-บริโภคปรับตัวเน้นกลยุทธ์ลดแลกแจกแถมแทน “อินเด็กซ์ฯ” ชี้ปลายปีเป็นไฮซีซัน มั่นใจทำรายได้เข้าเป้า 1.7 พันล้านบาท พร้อมมุ่งธุรกิจเชื่อมโยงเพื่อนบ้านมากขึ้น
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) บริษัทอีเวนต์อันดับ 7 ของโลก 3 ปีซ้อน รับรองจากสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า หลังจากที่อินเด็กซ์ฯ ปรับแผนกลยุทธ์ใหม่เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันมี 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ครีเอทีฟโซลูชัน (Creative Solutions) 2. มาร์เกตติ้งเซอร์วิส (Marketing Services) 3. ธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Wings) และ 4. ไลฟ์สไตล์เอ็กซ์พีเรียนซ์ (Lifestyle Experience) รวมถึงการขยายฐานตลาดในประเทศไทยจากกลุ่มลูกค้าภาคธุรกิจ (B2B) สู่การขยายตลาดสู่ผู้บริโภคทั่วไป (B2C) มากขึ้น โดยในส่วนของธุรกิจต่างๆ มีแนวโน้มที่ดีเมื่อเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา
การเติบโตของอินเด็กซ์ฯ ยังคงให้น้ำหนักกับธุรกิจครีเอทีฟโซลูชัน 55% ส่วนอีก 3 ธุรกิจ คือ มาร์เกตติ้งเซอร์วิส ธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน และไลฟ์สไตล์เอ็กซ์พีเรียนซ์ รวมกันเป็น 45% โดยคาดการณ์รายได้รวมในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ 1.7 พันล้านบาท เติบโตจากปี 2557 ประมาณ 10-15% โดยอินเด็กซ์ฯ ยังคงมองหาโอกาสของการขยายฐานธุรกิจไปยังกลุ่มบริการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากได้สร้างรากฐานที่มั่นคงพร้อมเครือข่ายที่เข้มแข็งยังประเทศเพื่อนบ้านไว้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพื่อเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะสามารถเชื่อมโยงทุกธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนเข้าด้วยกัน
ในส่วนของธุรกิจอื่นๆ ที่มีความโดดเด่น คือ “วิลเลจ เทเลวิชัน” ซึ่งถือเป็นครีเอทีฟคอนเทนต์โพรวายเดอร์ ทั้งการนำเสนอและผลิตรายการโทรทัศน์ในแนวคิดที่แตกต่าง รวมถึงอุปกรณ์และเครื่องมือที่ครบครัน จึงได้รับความไว้วางใจให้ผลิตรายการโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาหลากหลายป้อนให้แก่ทั้งช่องทีวีดิจิตอลในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยล่าสุดเป็นเจ้าของคอนเทนต์รายการ “The Dog Partner” ช่อง 9 MCOT HD และดำเนินการผลิตเอง
นอกจากนี้ ยังมีรายการโทรทัศน์ที่อินเด็กซ์ฯ เป็นผู้สร้างรูปแบบรายการจนได้รับการยอมรับทั้งในประเทศพม่า และเวียดนาม เช่น รายการ “Wai Hin Na-Ta-Mee” (Sky Angel) เรียลิตีค้นหาแอร์โฮสเตสสาวสวยและมากความสามารถให้สายการบินนกแอร์ โดยออกอากาศทางช่อง MRTV4 ช่องยอดนิยมที่สุดในประเทศพม่า จนประสบความสำเร็จในซีซันแรก และเป็นรายการที่มีเรตติ้งสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศพม่า เช่นเดียวกันกับรายการ “Sky Angel” ทางช่อง Let’s Viet ประเทศเวียดนาม ซึ่งถือเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่กำลังเติบโต
นายเกรียงไกรกล่าวด้วยว่า ภาพรวมของธุรกิจอีเวนต์ในปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมาถือว่าฟื้นตัวดีขึ้นแต่ไม่ได้หวือหวามากนัก โดยคาดว่าตลาดจะมีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 5% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.23 หมื่นล้านบาท โดยปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ หลายประเภทที่ภาคเอกชนทุ่มงบประมาณในการจัดงานมากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์และธุรกิจด้านการสื่อสาร แต่ในส่วนของสินค้าอุปโภคบริโภคอาจใช้เงินด้านการตลาดไปทำโปรโมชัน ลด แลก แจก แถมมากกว่า โดยเฉพาะในช่วงปลายปีเพื่อต้องการกระตุ้นยอดขาย เนื่องจากผู้บริโภคยังระมัดระวังในการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้นเพราะกำลังการซื้อที่ลดลง
แม้นักการตลาดและผู้บริโภคจะยังคงระมัดระวังในเรื่องของการใช้เงินและงบประมาณต่างๆ แต่เชื่อว่าธุรกิจอีเวนต์น่าจะกลับมาคึกคักในแง่ของการแข่งขันในเรื่องของแนวคิดความสร้างสรรค์มากขึ้น โดยนักการตลาดจำเป็นต้องมีการวางแผนและปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในยุคของ Hybrid Event ซึ่งเป็นการผสมผสานและเชื่อมโยงของความเป็นแอนะล็อกและดิจิตอลเข้าด้วยกัน
“ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีถือเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจอีเวนต์ เพราะมักจะมีงานและเทศกาลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงมากระจุกตัวช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นฮัลโลวีน คริสต์มาส ตลอดจนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งทางอินเด็กซ์ฯ ได้จัดงานเคานต์ดาวน์เป็นประจำทุกปี ทั้งด้านหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึงหัวเมืองใหญ่ๆ เช่น เชียงใหม่ อุดรธานี หาดใหญ่ และอีกหลายจังหวัด เป็นต้น โดยขณะนี้กำลังพิจารณาพื้นที่แลนด์มาร์กใหม่ๆ เพิ่มขึ้น อาทิ ตามห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตีมอลล์ใหม่ๆ” นายเกรียงไกรกล่าวในตอนท้าย