ทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์พร้อมสายการบินเอมิเรตส์พบ “อาคม” ขอเพิ่มเคาน์เตอร์เช็กอินที่สุวรรณภูมิ ลดปัญหาแออัดและเพื่อรับเครื่องบิน A380 ที่จะเพิ่มเที่ยวบินมาไทยในเดือน ต.ค. พร้อมขอตั้งศูนย์ซ่อมบำรุง A380 ในไทย “อาคม” สั่ง ทอท.เร่งพิจารณา ส่วนผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส ไออาตา ตอกย้ำความร่วมมือขนส่งทางอากาศกับไทย
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลัง H.E.Mr. Saif Abdulla Mohammed Khalfan Alshamisi เอกอัครราชทูต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี ประจำประเทศไทย พร้อมด้วยนายจาเบรอร์ อัลอะซิบี้ ผู้จัดการใหญ่สายการบินเอมิเรตส์ประจำประเทศไทยและอินโดจีนเข้าพบเมื่อวันที่ 29 ก.ย.ว่า ทางยูเออีขอให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเพิ่มเคาน์เตอร์เช็กอินที่สนามบินสุวรรณภูมิ จากปัจจุบัน 13-14 เคาน์เตอร์เป็น 20 เคาน์เตอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารของสายการบินเอมิเรตส์ ซึ่งมีเที่ยวบินจากยุโรปเชื่อมมายังไทยและเอเชียแปซิฟิกทุกวัน และส่วนหนึ่งใช้เครื่องบินขนาดใหญ่ คือ แอร์บัส A380 ความจุผู้โดยสารถึง 600 ที่นั่ง และในเดือน ต.ค.นี้จะมีการเพิ่มเที่ยวบินที่ใช้ A380 จาก 3 เที่ยวบินเป็น 4 เที่ยวบิน รวมถึงขอพิจารณาเรื่องระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าผู้โดยสารขาเข้าที่สั้นเกินไป ทำให้การโหลดกระเป๋าสำหรับเครื่องบิน A380 เกิดความแออัดและทำให้เกิดปัญหาการรอคิวกระเป๋า
นอกจากนี้ ทางสายการบินเอมิเรตส์ได้เสนอขอพื้นที่ในอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Midfield Satellite) ที่อยู่ในแผนการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะ 2 ซึ่งจะประกวดราคาก่อสร้างได้ในเดือน มี.ค. 2559 ได้ และขอนำระบบซ่อมบำรุงเครื่องบิน A380 ของตนเองมาให้บริการสายการบินเอมิเรตส์โดยเฉพาะเนื่องจากไทยยังไม่มีการให้บริการ โดยจะใช้พนักงานที่เป็นคนไทยทั้งหมด ซึ่งการซ่อมบำรุงนั้นไทยอยู่ระหว่างพัฒนา โดยขณะนี้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องการร่วมทุนกับสายการบินแอร์ฟรานซ์ ที่ไทยเป็นฐานการซ่อมบำรุง โดยจะเป็น Technical Workshop การซ่อมบำรุงเครื่องบินของแอร์ฟรานซ์ที่บินมายังภูมิภาคนี้ โดยคาดจะได้ความชัดเจนในเดือน ม.ค. 2559
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.รับไปพิจารณาในเรื่องการเพิ่มเคาน์เตอร์และการจัดสรรพื้นที่ใน Midfield Satellite ซึ่งเป็นเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่สายการบินอยู่แล้ว โดยต้องยอมรับสนามบินสุวรรณภูมิ เกิดความแออัดโดยเฉพาะเคาน์เตอร์เช็กอินในช่วงเวลาที่มีเที่ยวบินมาก ดังนั้น ทอท.จะต้องเร่งสำรวจและบริหารจัดการในเรื่องตารางบินเพื่อให้สอดคล้องกันด้วย ซึ่งโดยทั่วไปสายการบินขนาดใหญ่จะมีเคาน์เตอร์เช็กอินประจำ
“ยอมรับว่าตารางเวลาการบินที่สุวรรณภูมิและดอนเมืองเต็มมาก โดยเฉพาะช่วงเที่ยวบินต่อเที่ยวบินขณะที่พื้นที่บริเวณเคาน์เตอร์เช็กอินมีจำกัด ซึ่งทางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้นมี 2 สายการบินที่เข้าออกไทย คือ เอมิเรตส์และเอทิฮัท ซึ่งใช้ A380 ซึ่งส่วนหนึ่งมีการทำโค้ดแชร์กับสายการบินไทยอยู่แล้ว ซึ่งได้หารือเพื่อขอให้ทางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นจุดบินหลักของสายการบินไทยในการเชื่อมไปยุโรปและการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจการบิน (Value Added) ในเรื่องการขนส่งสินค้า ซึ่งอาคารคลังสินค้า (ฟรีโซน) ของสนามบินสุวรรณภูมิยังมีพื้นที่เหลือ ซึ่ง ทอท.จะต้องเร่งพัฒนาในเรื่อง Non Passenger ต่อไป”
***ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส ไออาตา พบ “อาคม” ย้ำความร่วมมือขนส่งทางอากาศ
นอกจากนี้ มร.คอนราด คลิฟฟอร์ด ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก สมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) หรือไออาตา ได้เข้าพบนายอาคม โดยทางไออาตาพร้อมให้ความร่วมมือและช่วยเหลือไทยด้านการขนส่งทางอากาศ ซึ่งทางไออาตามีระบบตรวจสอบด้านมาตรฐานของการให้บริการของสายการบิน ซึ่งขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างเร่งรัดร่างพระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างเพื่อให้สอดคล้องกับข้อตกลงในภาคีอนุสัญญามอนทรีออล 1999 โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้มติเห็นชอบเมื่อเดือน ก.พ. 2558
นอกจากนี้ ทางไออาตาเน้นในเรื่องมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและการคุ้มครองผู้โดยสาร ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมาทางไออาตาเคยเสนอแนะเรื่องการลดขนาดและน้ำหนักของกระเป๋าถือติดตัวขึ้นเครื่องบิน แต่ทางสายการบินต่างๆ ไม่ให้การตอบรับ เนื่องจากเห็นว่าจะกระทบต่อความสะดวกสบายของผู้โดยสาร ซึ่งทางไออาตาเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้พื้นที่ในห้องโดยสารเครื่องบินเนื่องจากกระเป๋าผู้โดยสารบางรายขนาดเกินที่กำหนด ซึ่งบางสนามบินอาจจะเข้มงวด แต่เมื่อมีการตรวจพบผู้โดยสารอาจจะไม่ยินยอมซึ่งเป็นปัญหา