“สนพ.” คาดราคาน้ำมันดิบดูไบจะผันผวนในระดับต่ำเฉลี่ย 40-45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลอีก 16-18 เดือน ทำให้แนวโน้มราคาน้ำมันและค่าไฟยังมีทิศทางขาลงได้อีก แต่สิ่งที่วิตก! กลับพบว่าดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานของไทยเริ่มส่งสัญญาณฟ้องว่าใช้แบบไร้ประสิทธิภาพแล้ว
นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ทิศทางราคาน้ำมันดิบดูไบจะยังคงมีราคาผันผวนในทิศทางระดับต่ำเฉลี่ย 40-45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลอีกประมาณ 16-18 เดือน เมื่อระดับราคาน้ำมันดิบต่ำจะมีผลทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันของไทยทรงตัวในระดับต่ำไปด้วย และสะท้อนไปยังราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าลดตามเช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่กระทรวงพลังงานกังวลคือประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศที่เริ่มลดต่ำลงจากระดับราคาน้ำมันและค่าไฟที่ลด
“ผมอยากส่งสัญญาณว่าพลังงานที่มีราคาช่วงขาลงนี้อย่าเพลินกับการใช้แบบไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งเราเป็นห่วงที่พบว่าดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานของไทยหรือ Energy Intensity (EI) 6 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 8.38 พันตัน เทียบเท่าน้ำมันดิบต่อพันล้านบาท ซึ่ง EI คือหน่วยการใช้พลังงานต่อหนึ่งหน่วย GDP ที่เราผลิตได้ ดังนั้น ถ้าเพิ่มขึ้นแปลว่าผลิตของเท่าเดิมแต่ใช้พลังงานมากขึ้น หรือใช้พลังงานเท่าเดิมแต่มูลค่าของเราลดลงเกิดจาก GDP เราส่วนหนึ่งต่ำกว่าเป้าซึ่งโต 2.9% รอบ 6 เดือนแรก แต่เราใช้เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันอ่อนตัวทั้งๆ ที่ดูสถิติย้อนหลัง EI มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา” นายทวารัฐกล่าว
สำหรับสถานการณ์การใช้พลังงานไทย 8 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.ส.ค. 58) พบว่ามีการใช้พลังงานรวมอยู่ที่ 2.603 ล้านบาร์เรลต่อวัน เทียบเท่าน้ำมันดิบหรือมีการใช้เพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากการผลิตในประเทศที่ลดลง 1.1% นำเข้าสุทธิเพิ่มขึ้น 8.6% ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าน้ำมันดิบที่ 8.94 แสนบาร์เรลต่อวัน ขณะที่การใช้น้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 143 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 2.2%
ภาคไฟฟ้า 8 เดือนแรกปีนี้การผลิตอยู่ที่ 1.24 แสนล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 2.6% โดยการผลิตจะใช้ก๊าซฯ มากสุด 70% ปัจจัยคือราคาค่าไฟที่ลดต่ำต่อเนื่อง 3 เดือน และยังคงมีทิศทางลดลงตามราคาก๊าซฯ ที่สะท้อนจากน้ำมันต่ำย้อนหลัง 6 เดือนอีก แต่ทั้งนี้ก็อยู่ที่ปัจจัยค่าเงินบาทว่าจะกระทบมากน้อยแค่ใด โดยพบว่าการใช้ไฟต่อหัวประชากร พบว่าปี 2557 ไทยอยู่ที่ 2,590 หน่วยต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องซึ่งสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านแต่ก็ยังคงต่ำกว่าสิงคโปร์ และญี่ปุ่นอยู่พอสมควร