เถ้าแก่น้อย เจ้าตลาดสาหร่ายแปรรูป เตรียมขายไอพีโอเพื่อโกอินเตอร์เต็มตัว หลังครองตลาดไทยกว่า 62% ยอดส่งออกโตแรงจนผลิตไม่ทัน
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์สาหร่ายแปรรูปอันดับ 1 ในเอเชีย หลังเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยมาโดยตลอด โดยบริษัทฯ เตรียมพร้อมที่จะเสนอขายหุ้นไอพีโอในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 90 ล้านหุ้นในเร็วๆ นี้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อใช้ในการสร้างโรงงานแห่งใหม่ซึ่งตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ลงทุนซื้อเครื่องจักรในสายการผลิตใหม่ด้วยเทคโนโลยีการผลิตระดับสากลและเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์อย่างมีนัยไปยังตลาดหลักในเอเชีย
“บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN เป็นผู้บุกเบิกในการผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายแปรรูปแบบครบวงจร ภายใต้แบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” และเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดมาโดยตลอด ด้วยส่วนแบ่งตลาดในประเทศสูงถึง 62% โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ 4 ประเภทหลัก ได้แก่ สาหร่ายทอด สาหร่ายเทมปุระ สาหร่ายอบ และสาหร่ายย่าง และบริษัทฯ ได้รุกขยายธุรกิจส่งออกอย่างต่อเนื่องในกว่า 35 ประเทศ ทำให้ธุรกิจของบริษัทฯ มีการเติบโตที่มั่นคงและต่อเนื่อง โดยในงวดปี 2557 TKN มีรายได้รวม 2,726 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 199 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับปี 2556 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 2,721 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 128 ล้านบาท และปี 2555 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 2,542 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 105 ล้านบาท ส่วนในไตรมาส 1 ปี 2558 TKN มีรายได้รวม 702 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 71% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2557 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 578 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 30 ล้านบาท
บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่จะพัฒนาตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” ให้เป็นผู้นำตลาดขนมขบเคี้ยวในเอเชีย (Asian Brand) ด้วยยอดขาย 5,000 ล้านบาทภายในปี 2561 โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการขายต่างประเทศต่อรายได้จากการขายโดยรวมเติบโตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 31.65% ในปี 2555 มาเป็น 43.05% ของยอดขายรวมในปี 2557 ทั้งนี้เป็นเพราะบริษัทฯ มีการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย จึงส่งผลให้รายได้จากการขายต่างประเทศมีอัตราการเติบโตสูงกว่ารายได้จากการขายในประเทศ โดยเฉพาะยอดส่งออกไปประเทศจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกหลักที่มีมูลค่าตลาดขนมขบเคี้ยวที่สูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง โดยบริษัทฯ ได้เล็งเห็นโอกาสการเติบโตอย่างสูง จึงได้ลงทุนสร้างโรงงานเพิ่มอีกเพื่อรองรับการส่งออกโดยเฉพาะ ซึ่งโรงงานใหม่นี้ได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นภาษีจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 7 ปี ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มกำลังการผลิต สาหร่ายแปรรูปได้ถึง 100% นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้จำหน่ายข้าวโพดอบกรอบพรีเมียมภายใต้ชื่อว่า “ต๊อบคอร์น” และข้าวโพดอบกรอบแบบซอง ภายใต้ชื่อว่า “เถ้าแก่ป๊อป” และบริษัทฯ ยังมีแผนการมุ่งพัฒนาสินค้าสแน็กตัวอื่นๆ ที่แปลกใหม่และตรงต่อความต้องการของผู้บริโภค” นายอิทธิพัทธ์กล่าว
นายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงินของ TKN กล่าวว่า บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN เป็นหุ้นไอพีโอที่บริษัทฯ มีความภาคภูมิใจ เนื่องจาก TKN เป็นทั้งผู้บุกเบิกและผู้นำตลาดขนมขบเคี้ยวจากสาหร่ายแปรรูปแบรนด์ เถ้าแก่น้อย ที่มีส่วนแบ่งตลาดในประเทศสูงถึง 62% และที่สำคัญมีโอกาสในการเติบโตในต่างประเทศอย่างสูง ที่สำคัญภายใต้การนำของคุณอิทธิพัทธ์ และคณะผู้บริหารมืออาชีพ ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างสูงในการสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด นอกจากนี้แบรนด์เถ้าแก่น้อยเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูง เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในไทยและตลาดอาเซียน ซึ่งบริษัทฯ สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี
การระดมทุนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนสร้างโรงงานเพิ่มอีก 1 แห่งเพื่อการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกโดยเฉพาะ เพิ่มเงินทุนหมุนเวียนและปรับโครงสร้างทางการเงินให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2557 TKN มีกำไรต่อหุ้น 1.19 บาท มีอัตราผลตอบแทนต่อหุ้น (ROE) สูงถึง 65% มีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) สูง 17% และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นเพียง 2.62 เท่า โดยคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี
อนึ่ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2558 บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN มีจำนวนทุนจดทะเบียน 345,0000,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เป็นทุนที่ชำระแล้วจำนวน 255,000,000 บาท ภายหลังจากการนำเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนจำนวน 90,000,000 หุ้นในครั้งนี้บริษัทฯ จะมีทุนเรียกชำระเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเท่ากับ 345,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 345,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยมีกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ประกอบด้วยกลุ่มพีระเดชาพันธ์ ถือหุ้นรวม 100% หลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะเปลี่ยนเป็นกลุ่มพีระเดชาพันธ์ถือหุ้น 74% หรือ 255 ล้านหุ้น และประชาชนทั่วไป 26% หรือเท่ากับ 90 ล้านหุ้น โดยการเสนอขายหุ้นไอพีโอในตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้มีบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
iframe src="//www.facebook.com/plugins/likebox.php?href=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Fmarketingnews.astv&width=292&height=290&show_faces=true&colorscheme=light&stream=false&border_color&header=true" scrolling="no" frameborder="0" style="border:none; overflow:hidden; width:292px; height:290px;" allowTransparency="true">