เถ้าแก่น้อย เตรียมขายไอพีโอ หวังระดมทุนเพื่อนำเงินไปใช้ขยายงาน เดินหน้าสู่ผู้นำตลาดสแน็กแห่งเอเชีย
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ด แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์สาหร่ายแปรรูปอันดับ 1 ในเอเชีย หลังเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยมาโดยตลอด โดยบริษัทฯ เตรียมพร้อมที่จะเสนอขายหุ้นไอพีโอในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 90 ล้านหุ้นในเร็วๆ นี้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อใช้ในการสร้างโรงงานแห่งใหม่ซึ่งตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ลงทุนซื้อเครื่องจักรในสายการผลิตใหม่ด้วยเทคโนโลยีการผลิตระดับสากล และเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์อย่างมีนัยไปยังตลาดหลักในเอเชีย
“บจม.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ด แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN เป็นผู้บุกเบิกในการผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายแปรรูปแบบครบวงจร ภายใต้แบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” และเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดมาโดยตลอด ด้วยส่วนแบ่งตลาดในประเทศสูงถึง 62% โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ 4 ประเภทหลัก ได้แก่ สาหร่ายทอด สาหร่ายเทมปุระ สาหร่ายอบ และสาหร่ายย่าง และบริษัทฯ ได้รุกขยายธุรกิจส่งออกอย่างต่อเนื่องในกว่า 35 ประเทศ ทำให้ธุรกิจของบริษัทฯ มีการเติบโตที่มั่นคง และต่อเนื่อง โดยในงวดปี 2557 TKN มีรายได้รวม 2,726 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 199 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับปี 2556 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 2,721 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 128 ล้านบาท และปี 2555 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 2,542 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 105 ล้านบาท ส่วนในไตรมาส 1 ปี 2558 TKN มีรายได้รวม 702 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 71% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2557 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 578 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 30 ล้านบาท
บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ และเป้าหมายที่จะพัฒนาตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” ให้เป็นผู้นำตลาดขนมขบเคี้ยวในเอเชีย (Asian Brand) ด้วยยอดขาย 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2561 โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการขายต่างประเทศต่อรายได้จากการขายโดยรวมเติบโตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 31.65% ในปี 2555 มาเป็น 43.05% ของยอดขายรวมในปี 2557
ทั้งนี้ เป็นเพราะบริษัทฯ มีการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย จึงส่งผลให้รายได้จากการขายต่างประเทศมีอัตราการเติบโตสูงกว่ารายได้ จากการขายในประเทศ โดยเฉพาะยอดส่งออกไปประเทศจีน ซึ่งเป็น 1 ในตลาดส่งออกหลักที่มีมูลค่าตลาดขนมขบเคี้ยวที่สูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง โดยบริษัทฯ ได้เล็งเห็นโอกาสการเติบโตอย่างสูง จึงได้ลงทุนสร้างโรงงานเพิ่มอีกเพื่อรองรับการส่งออกโดยเฉพาะ ซึ่งโรงงานใหม่นี้ได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นภาษีจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 7 ปี ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มกำลังการผลิตสาหร่ายแปรรูปได้ถึง 100% นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้จำหน่ายข้าวโพดอบกรอบพรีเมียมภายในชื่อว่า “ต๊อบคอร์น” และข้าวโพดอบกรอบแบบซอง ภายใต้ชื่อว่า “เถ้าแก่ป๊อป” และบริษัทฯ ยังมีแผนการมุ่งพัฒนาสินค้าสแน็กตัวอื่นๆ ที่แปลกใหม่ และตรงต่อความต้องการของผู้บริโภค” นายอิทธิพัทธ์ กล่าว
นายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน ของ TKN กล่าวว่า บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ด แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN เป็นหุ้นไอพีโอที่บริษัทฯ มีความภาคภูมิใจ เนื่องจาก TKN เป็นทั้งผู้บุกเบิก และผู้นำตลาดขนมขบเคี้ยวจากสาหร่ายแปรรูปแบรนด์เถ้าแก่น้อย ที่มีส่วนแบ่งตลาดในประเทศสูงถึง 62% และที่สำคัญมีโอกาสในการเติบโตในต่างประเทศอย่างสูง ที่สำคัญภายใต้การนำของ คุณอิทธิพัทธ์ และคณะผู้บริหารมืออาชีพ ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างสูงในการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด นอกจากนี้ แบรนด์เถ้าแก่น้อยเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูง เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในไทยและตลาดอาเซียน ซึ่งบริษัทฯ สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี
การระดมทุนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนสร้างโรงงานเพิ่มอีก 1 แห่ง เพื่อการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกโดยเฉพาะ เพิ่มเงินทุนหมุนเวียน และปรับโครงสร้างทางการเงินให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2557 TKN มีกำไรต่อหุ้น 1.19 บาท และมีอัตราผลตอบแทน ต่อหุ้น (ROE) สูงถึง 65% และมีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) สูง 17% และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นเพียง 2.62 เท่า และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี
อนึ่ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2558 บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ด แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN มีจำนวนทุน จดทะเบียน 345,0000,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เป็นทุนที่ชำระแล้ว จำนวน 255,000,000 บาท ภายหลังจากการนำเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชน จำนวน 90,000,000 หุ้น ในครั้งนี้บริษัทฯ จะมีทุนเรียกชำระเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเท่ากับ 345,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 345,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยมีกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ประกอบด้วย กลุ่มพีระเดชาพันธ์ ถือหุ้นรวม 100% หลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้ว สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะเปลี่ยนเป็น กลุ่มพีระเดชาพันธ์ ถือหุ้น 74% หรือ 255 ล้านหุ้น และประชาชนทั่วไป 26% หรือเท่ากับ 90 ล้านหุ้น โดยการเสนอการขายหุ้นไอพีโอในตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้ มีบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย