วัยรุ่นพันล้าน “ต๊อบ-อิทธิพัทธ์” โอดตลาดขนมขบเคี้ยวโตแค่ 3% ต่ำสุดในรอบ 10 ปี แต่ยังดัน “เถ้าแก่น้อย” โต 15% ปรับกลยุทธ์ใหม่เน้นให้ความรู้ผู้บริโภคมากขึ้น กระตุ้นยอดขาย 3.3 พันล้านบาทในปี 58 เดินหน้าขยายตลาด CLMV ช่วยเพิ่มยอดขายปีละ 10% สู่เป้าส่งออก 55% พร้อมสานฝันเป็นแบรนด์ระดับเอเชียใน 5 ปีก่อนทะยานสู่แบรนด์ระดับโลกใน 10 ปี
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สาหร่ายทะเล “เถ้าแก่น้อย” เปิดเผยว่า ตลาดผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวและสาหร่ายในปี 2557 มีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เติบโตลดลง 3% ต่ำสุดในรอบ 10 ปีซึ่งเคยเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค
ในส่วนของ “เถ้าแก่น้อย” มียอดขายในปี 2557 ประมาณ 3 พันล้านบาท เติบโต 15% แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากสาหร่าย 80% และอื่นๆ 20% โดยคาดว่าในปี 2558 จะมียอดขายเติบโตขึ้นอย่างน้อย 10% คิดเป็นมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 3.3 พันล้านบาท ขณะที่ตลาดรวมน่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 5% เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคและภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ดีขึ้นนัก
“บริษัทฯ ถือเป็นผู้นำตลาดสาหร่ายด้วยสัดส่วน 70% หลังจากที่ทำตลาดมานานจนมีผลิตภัณฑ์หลากหลายครอบคลุมทุกระดับ ในปี 2558 จึงมีแผนการตลาดด้วยการเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของสาหร่ายว่าอุดมไปด้วยวิตามินเอที่ช่วยเรื่องการบำรุงสายตา รวมถึงมีใยอาหารที่ช่วยเรื่องทางเดินอาหารและการขับถ่าย ทั้งยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงโลหิต เพื่อเป็นการตอกย้ำการเป็นขนมคบเคี้ยวที่ทั้งอร่อยและได้ประโยชน์”
ในปี 2558 บริษัทฯ ยังคงมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาโดยใช้พรีเซ็นเตอร์ชื่อดังคือ “พลอย เฌอมาลย์” โดยเริ่มออกอากาศมาตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังจะเน้นทำกิจกรรมการตลาดในลักษณะการเป็นผู้สนับสนุนการจัดคอนเสิร์ตต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนให้ความสำคัญกับช่องทางการสื่อสารในโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้นเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
นายอิทธิพัทธ์ ยังกล่าวถึงทิศทางการทำตลาดต่างประเทศว่า ปัจจุบันคนไทยถือเป็นผู้บริโภคสาหร่ายในอัตราที่ค่อนข้างสูงเฉลี่ยคนละ 6 แผ่นต่อปี ในขณะที่คนเอเชียทั่วไปบริโภคคนละไม่ถึง 1 แผ่นต่อปี บริษัทฯ จึงมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ปัจจุบันที่มาจากในประเทศ 60% ต่างประเทศ 40% โดยตั้งเป้าภายใน 5 ปีจะเพิ่มสัดส่วนต่างประเทศเป็น 55% โดยในเบื้องต้นจะขยายเป็น 40% ก่อนภายใน 2 ปี
“ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้เป็นต้นไป บริษัทฯ ได้กำหนดเป้ายุทธศาสตร์บุกตลาดต่างประเทศอย่างหนัก เพื่อผลักดันให้ผลิตภัณฑ์สาหร่ายเถ้าแก่น้อยก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 1 ของกลุ่มสินค้า Seaweed Snack ที่สามารถครองใจผู้บริโภคในตลาดระดับอาเซียนภายใน 3 ปี พร้อมก้าวสู่ระดับเอเชียใน 5 ปี ก่อนที่จะเป็นแบรนด์ระดับโลก หรือ Global Brand ภายใน 10 ปี”
ในปี 2558 บริษัทฯ พร้อมที่จะขยายตลาด CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนามอย่างจริงจังมากขึ้นเนื่องจากพบว่าทิศทางการบริโภคกำลังเติบโตค่อนข้างสูง โดยจะการเสริมสร้างความแข็งแกร่งผ่านการหาพันธมิตรทางการค้าและการกระจายสินค้า ตลอดจนยกระดับด้านเทคโนโลยีการผลิตและพัฒนาสินค้า เพื่อสร้างความหลากหลายสู่ผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดหลังจากเริ่มทำตลาดมาประมาณ 7-8 ปี โดยคาดว่าจะมีส่วนช่วยให้มียอดขายเติบโตขึ้นแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 10%” นายอิทธิพัทธ์ กล่าว
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ขณะนี้บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยได้ทำการแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้นได้ภายในปี 2558 เพื่อต้องการระดมทุนไปใช้ในการขยายกำลังการผลิตและสร้างโรงงานแห่งใหม่
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สาหร่ายทะเล “เถ้าแก่น้อย” เปิดเผยว่า ตลาดผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวและสาหร่ายในปี 2557 มีมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เติบโตลดลง 3% ต่ำสุดในรอบ 10 ปีซึ่งเคยเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค
ในส่วนของ “เถ้าแก่น้อย” มียอดขายในปี 2557 ประมาณ 3 พันล้านบาท เติบโต 15% แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากสาหร่าย 80% และอื่นๆ 20% โดยคาดว่าในปี 2558 จะมียอดขายเติบโตขึ้นอย่างน้อย 10% คิดเป็นมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 3.3 พันล้านบาท ขณะที่ตลาดรวมน่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 5% เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคและภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ดีขึ้นนัก
“บริษัทฯ ถือเป็นผู้นำตลาดสาหร่ายด้วยสัดส่วน 70% หลังจากที่ทำตลาดมานานจนมีผลิตภัณฑ์หลากหลายครอบคลุมทุกระดับ ในปี 2558 จึงมีแผนการตลาดด้วยการเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของสาหร่ายว่าอุดมไปด้วยวิตามินเอที่ช่วยเรื่องการบำรุงสายตา รวมถึงมีใยอาหารที่ช่วยเรื่องทางเดินอาหารและการขับถ่าย ทั้งยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงโลหิต เพื่อเป็นการตอกย้ำการเป็นขนมคบเคี้ยวที่ทั้งอร่อยและได้ประโยชน์”
ในปี 2558 บริษัทฯ ยังคงมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาโดยใช้พรีเซ็นเตอร์ชื่อดังคือ “พลอย เฌอมาลย์” โดยเริ่มออกอากาศมาตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังจะเน้นทำกิจกรรมการตลาดในลักษณะการเป็นผู้สนับสนุนการจัดคอนเสิร์ตต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนให้ความสำคัญกับช่องทางการสื่อสารในโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้นเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
นายอิทธิพัทธ์ ยังกล่าวถึงทิศทางการทำตลาดต่างประเทศว่า ปัจจุบันคนไทยถือเป็นผู้บริโภคสาหร่ายในอัตราที่ค่อนข้างสูงเฉลี่ยคนละ 6 แผ่นต่อปี ในขณะที่คนเอเชียทั่วไปบริโภคคนละไม่ถึง 1 แผ่นต่อปี บริษัทฯ จึงมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ปัจจุบันที่มาจากในประเทศ 60% ต่างประเทศ 40% โดยตั้งเป้าภายใน 5 ปีจะเพิ่มสัดส่วนต่างประเทศเป็น 55% โดยในเบื้องต้นจะขยายเป็น 40% ก่อนภายใน 2 ปี
“ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้เป็นต้นไป บริษัทฯ ได้กำหนดเป้ายุทธศาสตร์บุกตลาดต่างประเทศอย่างหนัก เพื่อผลักดันให้ผลิตภัณฑ์สาหร่ายเถ้าแก่น้อยก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 1 ของกลุ่มสินค้า Seaweed Snack ที่สามารถครองใจผู้บริโภคในตลาดระดับอาเซียนภายใน 3 ปี พร้อมก้าวสู่ระดับเอเชียใน 5 ปี ก่อนที่จะเป็นแบรนด์ระดับโลก หรือ Global Brand ภายใน 10 ปี”
ในปี 2558 บริษัทฯ พร้อมที่จะขยายตลาด CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนามอย่างจริงจังมากขึ้นเนื่องจากพบว่าทิศทางการบริโภคกำลังเติบโตค่อนข้างสูง โดยจะการเสริมสร้างความแข็งแกร่งผ่านการหาพันธมิตรทางการค้าและการกระจายสินค้า ตลอดจนยกระดับด้านเทคโนโลยีการผลิตและพัฒนาสินค้า เพื่อสร้างความหลากหลายสู่ผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดหลังจากเริ่มทำตลาดมาประมาณ 7-8 ปี โดยคาดว่าจะมีส่วนช่วยให้มียอดขายเติบโตขึ้นแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 10%” นายอิทธิพัทธ์ กล่าว
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ขณะนี้บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยได้ทำการแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้นได้ภายในปี 2558 เพื่อต้องการระดมทุนไปใช้ในการขยายกำลังการผลิตและสร้างโรงงานแห่งใหม่