ASTVผู้จัดการรายวัน - www.theAsianparent.com เว็บไซต์ครอบครัวชื่อดังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยผลการศึกษาพฤติกรรมการเสพสื่อของคุณแม่เอเชียยุคใหม่ประจำปี พบคุณแม่คนไทยยุคใหม่วัย 20 ปีตอนปลายถึง 30 ปีตอนต้น “เสพติด” สื่อออนไลน์ ใช้เป็นช่องทางหลักในการหาข้อมูลเลี้ยงดูบุตรและซื้อสินค้า แนะนักการตลาดเร่งทำความเข้าใจพฤติกรรมเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มนี้อย่างตรงจุด
นางณัฐธนพร ฟอร์ด ผู้จัดการประจำประเทศไทย www.theAsianparent.com เว็บไซต์ครอบครัวชื่อดัง ผู้ผลิตคอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลบุตรที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยถึงผลการศึกษาพฤติกรรมการเสพสื่อของคุณแม่เอเชียยุคใหม่ประจำปี เรื่อง “The Asian Digital Mum Report 2015” ว่า ผลการศึกษาดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลจากคุณแม่คนไทยยุคใหม่ที่มีอายุ 20 ปีตอนปลายถึง 30 ปีตอนต้น จำนวน 1.6 พันคน เพื่อศึกษาพฤติกรรมและเทรนด์การบริโภคสื่อยุคดิจิตอลของว่าที่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และคุณแม่มือใหม่
ผลการศึกษาระบุว่า อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสื่อที่มีบทบาทในชีวิตประจำวันของกลุ่มคุณแม่มากขึ้นจนแซงหน้าสื่อประเภทอื่นๆ โดยสรุปแนวโน้มพฤติกรรมที่น่าสนใจของคุณแม่ยุคใหม่ 5 ประเด็น คือ 1. ชอบท่องโลกอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตมากถึง 82% ขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเพียง 18% 2. เฟซบุ๊กยังคงเป็นโซเชียลมีเดียที่ครองใจคุณแม่มากที่สุด โดยพบว่า 99% ของผู้ตอบแบบสอบถามต่างมีบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กเป็นของตนเอง
3. คลิปวิดีโอเป็นสื่อที่เหล่าคุณแม่นิยมใช้ในการหาข้อมูลต่างๆ ที่ต้องการ ดังจะเห็นได้จากการที่ยูทิวบ์ยังเป็นเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากคุณแม่ที่ใช้งานถึง 57% 4. โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 55% ของคุณแม่คนไทยมีการติดต่อสื่อสารผ่านโลกออนไลน์กับคุณแม่คนอื่นๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง 5. คุณแม่คนไทยมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ภายในครอบครัวเป็นสัดส่วนสูงถึง 90%
“รายงานดังกล่าวระบุด้วยว่า คุณแม่ยุคใหม่ 86% นิยมหันมาค้นหาข้อมูลต่างๆ ทางอินเทอร์เน็ตหลังคลอดบุตร ขณะที่ปริมาณการบริโภคสื่อดั้งเดิมชนิดต่างๆ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร ลดน้อยลงอยู่ที่ 51%, 33% และ 33% ตามลำดับ การศึกษาชิ้นนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมและแนวโน้มที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคกลุ่มคุณแม่ยุคใหม่ ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อนักการตลาด ผู้ผลิตสินค้าและบริการ รวมถึงมีเดียเอเยนซีในการทำความเข้าใจในพฤติกรรมดังกล่าวเพื่อช่วยตอบโจทย์ความต้องการของคนกลุ่มนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นางณัฐธนพรกล่าว
สำหรับสถิติอื่นๆ ที่น่าสนใจจากผลการศึกษาครั้งนี้ยังพบว่า โซเชียลมีเดียที่คุณแม่คนไทยนิยมใช้มากที่สุดคือเฟซบุ๊ก คิดเป็น 99% ตามด้วย Google+ 64% และอินสตาแกรม 62% ขณะเดียวกันคุณแม่คนไทยยังถือเป็นกลุ่มที่มีการใช้แอปพลิเคชันไลน์เป็นหลักในการส่งข้อความถึงกันสูงที่สุดในการสำรวจ 6 ประเทศ คิดเป็น 99% เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่มี 97%
“ข้อสำคัญที่น่าสนใจคือคุณแม่คนไทยยุคใหม่ 87% นิยมค้นหาเทคนิคการเลี้ยงลูกผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยมีการติดต่อกับคุณแม่คนอื่นๆ ผ่านช่องทางออนไลน์อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้งถึง 55% แต่มีการติดต่อผ่านช่องทางออฟไลน์เพียง 3% เท่านั้น นอกจากนี้ 56% ของคุณแม่คนไทยยังใช้เวลาทำงานผ่านอินเทอร์เน็ตประมาณ 1-6 ขั่วโมง”
นางณัฐธนพรกล่าวอีกว่า theAsianparent ยังได้จัดทำวิจัยเรื่อง “Mum Media Usage Survey” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคุณแม่คนไทยมีพฤติกรรมการใช้สื่อที่เปลี่ยนไป โดยมีโซเชียลมีเดียเป็นแหล่งข้อมูลอันดับหนึ่ง รองลงมาคือเว็บไซต์ ตามตัวครอบครัวและเพื่อน ขณะที่สื่อดั้งเดิมอยู่ในลำดับท้ายสุด
“จากการศึกษานี้พบว่าคุณแม่คนไทยชอบที่จะใช้อินเทอร์เน็ตในการค้นหาข้อมูลต่างๆ รวมถึงข้อมูลการเลี้ยงดูบุตรผ่านสื่อออนไลน์มากกกว่าสื่อดั้งเดิม โดย 46% ให้เหตุผลว่าเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และ 22% มองว่าสื่ออนไลน์มีความรวดเร็ว ดังนั้นหากนักการตลาดต้องการที่จะเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มนี้จึงควรให้ความสำคัญสื่อออนไลน์เป็นหลัก”
นางณัฐธนพรกล่าวเพิ่มเติมว่า เว็บไซต์ www.theAsianparent.com ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อปี 2552 จากนั้นได้ขยายบริการไปยังประเทศมาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และอินเดีย มีจำนวนผู้เข้าชมรวมกันมากกว่า 6 ล้านคน ใน 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาบาฮาซามาเลเซีย ภาษาบาฮาซาอินโดนีเซีย และภาษาไทย
www.theAsianparent.com ได้เข้ามาให้บริการในประเทศไทยเป็นลำดับที่ 3 เมื่อปี 2557 ปัจจุบันมีผู้ติดตามแฟนเพจ theAsianparent.com/Thailand ประมาณ 5,12 แสนคน เฉลี่ยเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 6 พันคน คาดว่าเมื่อถึงสิ้นปี 2558 จะมีสมาชิกแฟนเพจเพิ่มเป็น 6 แสนคน พร้อมสามารถทำรายได้จากโฆษณาแบนเนอร์บนเว็บไซต์และแฟนเพจ 100% เพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2557 ประมาณ 2-3 เท่า เนื่องจากปี 2557 ให้ความสำคัญด้านการพัฒนาคอนเทนต์ โดยยังไม่เน้นโฆษณามากนัก
“เรามีการพัฒนาคอนเทนต์ของเว็บไซต์ในประเทศไทยให้เหมาะสมกับคุณแม่คนไทยมากขึ้น จากช่วงแรกที่มีการแปลบทความต่างประเทศ หรือนำเสนอบทความต่างๆ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ปัจจุบันเริ่มมีการพัฒนาให้มีรูปแบบเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างคุณแม่คนไทยด้วยกันเอง รวมถึงนำเสนอเคล็ดลับการเลี้ยงดูบุตรของศิลปินดาราและเซเลบริตี ตลอดจนมีการทำคลิปไวรัลต่างๆ ทำให้ปัจจุบันมีผู้เข้าชมเว็บไซต์สูงถึง 4 ล้านคน ถือว่าเพิ่มขึ้นถึง 300-400% จากช่วงแรกที่เปิดให้บริการเมื่อเดือน ก.ย. 57 ที่มีผู้เข้าชมเพียง 3 แสนคน” นางณัฐธนพรกล่าวในตอนท้าย