กฟผ.เชื่อมั่นสถานการณ์ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งพัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA-A18) หยุดผลิตระหว่าง 19-23 กรกฎาคม 2558 ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้า เตรียมมาตรการรองรับเต็มที่ทุกมิติ ทั้งด้านผลิตไฟฟ้า ระบบส่งไฟฟ้า และเชื้อเพลิง พร้อมรณรงค์ขอความร่วมมือคนไทยลดการใช้ไฟฟ้าเพื่อให้ระบบไฟฟ้าไทยมีความมั่นคงอีกทางหนึ่ง
นายสุธน บุญประสงค์ รองผู้ว่าการระบบส่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ชี้แจงกรณีบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แจ้งแผนการหยุดซ่อมแหล่งก๊าซพัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA-A18) ระหว่างวันที่ 19-23 กรกฎาคม 2558 รวม 5 วัน เพื่อทำการติดตั้งทางเชื่อมระหว่างแท่นผลิตก๊าซธรรมชาตินั้น มีผลให้โรงไฟฟ้าจะนะชุดที่ 2 ไม่สามารถเดินเครื่องได้ รวมทั้งต้องมีการเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงสำหรับเดินเครื่องโรงไฟฟ้าจะนะชุดที่ 1 จากก๊าซธรรมชาติเป็นน้ำมันดีเซล ดังนั้น กฟผ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงมีมาตรการและแผนการรองรับอย่างเต็มที่และยืนยันว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการใช้ไฟของประชาชน
สำหรับมาตรการรองรับของ กฟผ. เตรียมไว้ 3 ด้าน คือ 1) ด้านระบบผลิตไฟฟ้า โดยโรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ 1 พร้อมเดินเครื่องด้วยน้ำมันดีเซล ตรวจสอบโรงไฟฟ้าภาคใต้ทั้งหมดให้พร้อมใช้งาน งดการหยุดเครื่องบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าภาคใต้ในช่วงหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ และประสานงานกับการไฟฟ้ามาเลเซียขอซื้อไฟฟ้าในกรณีฉุกเฉิน
2) ด้านระบบส่ง ทำการตรวจสอบสายส่งและอุปกรณ์สำคัญในภาคใต้ให้พร้อมใช้งานก่อนเริ่มหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ และหยุดการบำรุงรักษาระบบส่งภาคใต้ช่วงหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ และ 3) ด้านเชื้อเพลิง ได้สำรองน้ำมันให้เพียงพอเต็มความสามารถจัดเก็บก่อนเริ่มหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ โดยโรงไฟฟ้ากระบี่ได้จัดเก็บน้ำมันเตา 25.4 ล้านลิตร และโรงไฟฟ้าจะนะได้จัดเก็บน้ำมันดีเซล 20 ล้านลิตร ทั้งนี้ ได้เตรียมทีมงานติดตามสถานการณ์ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ตลอดจนมีแผนสำรองพร้อมเข้าแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันที
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กฟผ. การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนช่วยกันประหยัดพลังงาน พร้อมใช้มาตรการลดการใช้ไฟฟ้า (Demand Response : DR) จากภาคเอกชน ในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง (18.00-22.00 น.) ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงเชื่อถือได้ของระบบผลิตไฟฟ้าโดยรวมของประเทศเป็นสำคัญ