xs
xsm
sm
md
lg

TSE ทุ่มหมื่นล้านรุกโรงไฟฟ้าเพิ่มใน 2 ปี จับมือพันธมิตรทำโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ไทย โซล่าร์ฯ ตั้งเป้าขยายกำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มอีก 150 เมกะวัตต์ใน 2 ปีนี้ ใช้เงินลงทุน 1 หมื่นล้านบาท ล่าสุดเซ็นเอ็มโอยูกับพันธมิตรท้องถิ่นรุกโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่น 50 เมกะวัตต์ คาดรับรู้รายได้บางส่วนในสิ้นปีนี้ แย้มเตรียมนำส่วนล้ำมูลค่าหุ้นมาล้างขาดทุนสะสม 538 ล้านบาทเพื่อพร้อมจ่ายปันผล หลังมั่นใจปีนี้ฟันกำไรสูงกว่าปีก่อน แต่แทงกั๊กอ้างบริษัทยังมีแผนใช้เงินจึงยังไม่ตัดสินใจจะจ่ายปันผลได้หรือไม่

นางสาวแคทลีน มาลีนนท์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (TSE) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนพัฒนาเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใน 2 ปีนี้ (2558-2559) ประมาณ 150 เมกะวัตต์จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 25 โครงการ รวม 98.5 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไทย 100 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ญี่ปุ่น 50 เมกะวัตต์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวม 1 หมื่นล้านบาท

โดยการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไทยนั้น บริษัทฯ สนใจที่จะพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตรจำนวน 800 เมกะวัตต์ โดยบริษัทตั้งเป้าไว้ที่จะเข้าไปพัฒนาประมาณ 50 เมกะวัตต์ รวมทั้งยังมีการเจรจาเพื่อซื้อใบอนุญาตจากผู้ประกอบการที่ถือใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ยังค้างท่ออยู่ โดยวางเป้าหมายไว้ 20-30 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังสนใจที่จะพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอื่นๆ ทั้งโรงไฟฟ้าพลังลม ไบโอแมส และไบโอแก๊ส รวมทั้งโรงไฟฟ้าขยะด้วย โดยอยู่ระหว่างการศึกษาแต่คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เพราะต้องรอบคอบในการตัดสินใจลงทุน

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงนามบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น (MOU) กับพันธมิตรในประเทศญี่ปุ่น 2 รายที่จะร่วมกันพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รูปแบบโซลาร์ฟาร์ม กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ โดยบริษัทจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เกิน 75% คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 2 นี้ และจะรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวในปลายปีนี้ไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ที่เหลือจะรับรู้รายได้ในปีถัดไป

สำหรับแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการพัฒนาโครงการต่างๆ จะมาจากเงินส่วนทุน 2.5 พันล้านบาท โดยบริษัทฯ มีเงินจากการขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)เหลืออยู่ 1.2 พันล้านบาท และกู้ยืมจากสถาบันการเงิน เนื่องจากบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.97 เท่า รวมทั้งได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นเพื่อเตรียมวงเงินออกหุ้นกู้ไว้ 3 พันล้านบาท คาดว่าจะเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวได้ในไตรมาส 4 นี้

“เรามีความพร้อมด้านองค์ความรู้และความแข็งแกร่งทางการเงินในการเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในภูมิภาคเอเชีย จึงตั้งบริษัท TSE Group International Pte ที่สิงคโปร์เพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในภูมิภาคนี้ โดยโครงการแรกจะเป็นการลงทุนที่ประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายที่จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวมทั้งสิ้น 250-300 เมกะวัตต์ในสิ้นปี 2559”

ส่วนโครงการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ฟิลิปปินส์นั้นคงต้องชะลอออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านนโยบายภาครัฐและการเงิน หลังพบว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้จ่ายไฟเข้าระบบไปแล้วไม่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐตามสัญญาที่กำหนดไว้ ทำให้บริษัทฯ ต้องรอความชัดเจนในเรื่องนี้ก่อน

นอกจากนี้ บริษัทยังได้หารือร่วมกับ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ที่ดำเนินธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท.ว่า จะยังมีความร่วมมือในโครงการพลังงานทดแทน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมที่จะลงทุนไปด้วยกัน แต่ระยะสั้นยังไม่มีการลงทุนใหม่ๆ ร่วมกัน

นางสาวแคทลีนกล่าวถึงความคืบหน้าการเข้าไปศึกษาเพื่อเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานลมว่า หลังจากบริษัทได้เข้าไปศึกษาและประเมินมูลค่ากิจการแล้วพบว่ามีความเสี่ยงหลายด้านโดยเฉพาะประเด็นเรื่องผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงตัดสินใจไม่เข้าไปลงทุนในหุ้นดังกล่าวจนกว่าจะมีความชัดเจนในส่วนของผู้ถือหุ้น

ทั้งนี้ WEH อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น หลังนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ซึ่งถือหุ้นใหญ่ใน WEH สัดส่วน 45% นั้นมีปัญหาเรื่องคดีความจนต้องหนีคดีไป ทำให้ต้องการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใน WEH ใหม่เพื่อให้บริษัทเดินหน้าโครงการต่างๆ ต่อไปได้ รวมทั้งการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย

นางสาวแคทลีนกล่าวถึงผลการดำเนินงานในปีนี้ว่า บริษัทฯ คาดว่าปีนี้จะมีกำไรสูงกว่าปี 2557 ที่มีกำไรที่ไม่รวมบันทึกรายการพิเศษ 350 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้กำไรจากโครงการโซลาร์ฟาร์มจำนวน 10 โครงการรวม 80 เมกะวัตต์ และโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาอาคารพาณิชย์ (โซลาร์รูฟ) ที่คาดว่าจะจ่ายไฟได้ครบ 14 เมกะวัตต์ภายในกลางปีนี้ จะช่วยผลักดันให้บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานเติบโต 30% มาที่กว่า 1.1 พันล้านบาท จากปีก่อนรายได้อยู่ที่ 800 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีแผนนำส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่มีอยู่ 1.26 พันล้านบาทจากการทำIPO มาล้างขาดทุนสะสมทั้งหมดที่มีอยู่ 538 ล้านบาทในปีนี้ ทำให้พร้อมจ่ายเงินปันผลได้ แต่จะจ่ายเงินปันผลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับแผนการใช้เงินลงทุน โดยบริษัทเชื่อว่าผู้ถือหุ้นบริษัทฯ จะเห็นชอบที่จะให้นำเงินไปลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจมากกว่าจะจ่ายปันผล โดยหากจะจ่ายปันผลจากการดำเนินงานในปีนี้ก็คงไม่มาก เพราะบริษัทมีแผนใช้เงินลงทุนอยู่แล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น