นกแอร์ลุยเปิดเส้นทางต่างประเทศในปีนี้ บุกตลาดจีน “นานกิง, เฉิงตู” และในภูมิภาคเน้นลูกค้าระดับกลาง มีคุณภาพ ใช้จ่ายต่อหัวสูง เตรียมทำการตลาด มั่นใจขายราคาสูงกว่าโลว์คอสต์ 10% “พาที” คาดทั้งปีอัตราบรรทุกเฉลี่ยอยู่ที่ 85% เผยเหตุเครื่องบินรุ่น Q400 Next Gen ปิดประตูไม่ได้ที่ จ.น่านเป็นความผิดพลาด เร่งเพิ่มขั้นตอนฝึกพนักงานรีเซตประตู ยอมรับถูกบ่นเรื่องเที่ยวบินล่าช้า แต่ยืนยัน หากไม่มั่นใจเรื่องปลอดภัยจะไม่ทำการบินเด็ดขาด
นายพาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้นกแอร์จะขยายเส้นทางการบินไปยังต่างประเทศมากขึ้น โดยเน้นการบินไม่เกิน 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะประเทศจีนตอนกลางและตอนใต้ ซึ่งได้เริ่มเปิดให้บริการแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในเส้นทางดอนเมือง-มณฑลเหอเป่ย 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ซึ่งมีอัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 97-98% และภายในปีนี้จะเปิดเส้นทางไปจีนอีก 3-4 เมือง เช่น นานกิง เฉิงตู โดยจะเริ่มทยอยเปิดตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ และในเดือนตุลาคมจะเปิดเส้นทางดอนเมือง-โฮจิมินห์ และดอนเมือง-ฮานอย ประเทศเวียดนาม ซึ่งจีนถือเป็นตลาดที่มีความสำคัญมีอัตราการเติบโตสูงและนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย ในขณะที่นักท่องเที่ยวยุโรป รัสเซียยังไม่ฟื้นตัว
โดยธุรกิจการบินในปีนี้ยังคงแข่งขันด้านราคากันดุเดือด แต่นกแอร์ยังยืนยันแนวทางด้านราคาและบริการประกอบกัน โดยการขยายไปที่ตลาดจีนนั้นจะเน้นไปที่ลูกค้าระดับกลางที่มีคุณภาพ และใช้จ่ายต่อหัวสูง ซึ่งจะสามารกำหนดราคาขายได้สูงกว่าสายการบินราคาประหยัดประมาณ 10% และการขยายเส้นทางไปจีนเพื่อต้องการดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทยให้มากที่สุด เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ
ส่วนเส้นทางภายในประเทศนั้น ขณะนี้ถือว่านกแอร์มีเส้นทางที่ค่อนข้างครอบคลุม โดยจะเพิ่มกลยุทธ์ในเรื่องการให้บริการเพื่อแข่งขัน ซึ่งคาดว่า Cabin Factor เฉลี่ยขณะนี้อยู่ที่ 88-89% และคาดว่าทั้งปีจะอยู่ที่ 85% ในขณะที่ปีนี้จะมีการรับมอบเครื่องบินใหม่อีก 4 ลำ ประกอบด้วย โบอิ้ง B737-800 จำนวน 2 ลำ และ Q400 Next Gen จำนวน 2 ลำ (86 ที่นั่ง) ทำให้ฝูงบินมีจำนวนทั้งสิ้น 28 ลำ อายุเฉลี่ยอยู่ที่ไม่เกิน 3 ปี และผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นจะทำให้มีจำนวนผู้โดยสารรวมที่ประมาณ 11-12 ล้านคน นอกจากนี้ นกแอร์ประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน (Hedging) ไว้ล่วงหน้าที่ประมาณ 30% และปีนี้เชื่อว่าผลประกอบการนกแอร์จะอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนปีที่แล้วเจอปัญหาทั้งสภาพเศรษฐกิจ การเมืองภายในประเทศ
ส่วนกรณีเหตุเครื่องบินรุ่น Q400 Next Gen ของนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD 8819 เดินทางจากน่าน-ดอนเมือง เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เกิดประตูขัดข้องไม่สามารถปิดได้ ทำให้มีผู้โดยสารตกค้างจำนวนมาก รวมทั้งบุคคลสำคัญนั้น นายพาทียอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของพนักงานที่ปิดประตูเร็วจนผิดจังหวะทำให้ตกร่องและปิดไม่ได้ ซึ่งในเชิงเทคนิคต้องทำการรีเซตใหม่ก่อนจะปิดอีกครั้ง แต่นกแอร์เห็นว่าเพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยของผู้โดยสารจึงได้จัดส่งเครื่องบินลำใหม่ไปรับผู้โดยสารที่ตกค้างพร้อมกับส่งช่างไปทำการรีเซตระบบก่อนปิดประตู และจากปัญหาที่เกิดขึ้นนกแอร์และบอมบาร์ดิเอร์จึงได้จัดการฝึกอบรมการรีเซตระบบประตูแก่ลูกเรือและพนักงานทุกคนเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก
นายพาทีกล่าวว่า นกแอร์คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นอันดับแรก และต้องการเป็นสายการบินที่มีความปลอดภัยหนึ่งในเอเชีย ดังนั้น หากมีความไม่แน่ใจ หรือมีสัญญาณเตือน หรือสภาพอากาศไม่ดี จะเลือกที่ล่าช้าหรือยกเลิกเที่ยวบินไปเลย โดยยอมถูกต่อว่า ซึ่งสายการบินอื่นก็ล่าช้าเหมือนกันแต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง ทั้งนี้ นกแอร์มีเที่ยวบินบริการถึง 140 เที่ยวบินต่อวัน ล่าช้าไม่ถึง 15% ซึ่งสาเหตุของความล่าช้าหนึ่งคือ ปัญหาความแออัดของสนามบินดอนเมืองที่ทำให้ในแต่ละวันต้องมีเที่ยวบินล่าช้าอย่างน้อย 20 นาที หรือบางครั้ง 40 นาที-1 ชั่วโมง เนื่องจากเครื่องบินมีจำนวนมากขึ้นและส่วนใหญ่จอดค้างคืนเพื่อรอทำการบินตอนเช้าไม่น้อยกว่า 70 ลำ ซึ่งบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ในฐานะผู้บริหารสนามบิน ต้องหาทางแก้ปัญหาเพราะหลุมจอดไม่เพียงพอเพื่อลดการรอคิวของสายการบินซึ่งทำให้ต้นทุนด้านน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นด้วย