ศรีสะเกษ - ทหารไทย-กัมพูชาจับมือพัฒนา “ช่องสะงำ” ชายแดนด้าน จ.ศรีสะเกษ เพื่อส่งเสริมการค้า การท่องเที่ยว พร้อมช่วยเหลือชาวกัมพูชาประสบภัยแล้ง ตามโครงการหมู่บ้านคู่ขนานแนวชายแดน เผยขนตู้คอนเทนเนอร์ตั้งเป็นสำนักงานด่านผ่านแดนช่องสะงำของสองประเทศ ย้ำเปลี่ยนสนามรบช่องสะงำเป็นสนามการค้า ไม่พูดคุยปัญหาปักปันเขตแดน
วันนี้ (1 มี.ค.) ที่จุดผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ พล.ต.สนธยา ศรีเจริญ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี (ผบ.กกล.สุรนารี) พร้อมด้วย นายยุทธนา วิริยะกิตติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พ.อ.ณัฐ ศรีอินทร์ ผบ.หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี นายมุรธาธีร์ รักชาติเจริญ รองผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ นายครรชิต ดีหนองยาง นายอำเภอภูสิงห์ พ.ต.ท.เศรษฐภัทร ณ สงขลา สารวัตรใหญ่ด่านตรวจคนเข้าเมือง จ.ศรีสะเกษ และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางไปประชุมร่วมกับ พล.ท.ยิ้ม พันนา รองผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ประเทศกัมพูชา และคณะนายทหารระดับสูงของกัมพูชา
ทั้งนี้เพื่อร่วมกันหารือเกี่ยวกับการพัฒนาบริเวณด่านจุดผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องสะงำ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมสนับสนุนด้านการค้า การท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ
โดย พล.ต.สนธยา ศรีเจริญ ผบ.กกล.สุรนารี ได้นำเสนอปัญหาอุปสรรคต่างๆ และวิธีการแก้ไขปัญหาร่วมกันในระดับท้องถิ่นระหว่างไทยกับกัมพูชา จากนั้นได้ร่วมกันไปสำรวจบริเวณด่านช่องสะงำที่จะพัฒนา โดยจะมีการนำตู้คอนเทนเนอร์มาติดตั้งเพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งด่านตรวจคนเข้าเมือง ด่านศุลกากร ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ส่วนบริเวณที่ว่างกึ่งกลางระหว่างด่านไทยกับด่านกัมพูชาจะมีการปลูกดอกไม้ ทำสวนสาธารณะให้สวยงาม โดยขณะนี้ได้มีการปรับพื้นที่ไว้แล้วสำหรับการติดตั้งตู้คอนเทนเนอร์
นายยุทธนา วิริยะกิตติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า การมาประชุมหารือกันระหว่างฝ่ายไทยกับฝ่ายกัมพูชาในวันนี้เกิดจากการประสานงานของ พล.ต.สนธยา ศรีเจริญ ผบ.กกล.สุรนารี ที่ได้ประสานงานกับ พล.ท.ยิ้ม พันนา รองผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ประเทศกัมพูชา โดยมีประเด็นหลักที่พูดคุยกัน 5 ประเด็นสำคัญ
คือ 1. เรื่องการดูแลด้านสาธารณสุข การรักษาพยาบาล โดยจะอนุโลมให้ฝ่ายกัมพูชาที่เจ็บป่วยในเวลากลางคืนให้สามารถเข้ามารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลในเขตแดนไทยได้ ทั้งนี้ หากผู้ป่วยชาวกัมพูชาไม่มีพาสปอร์ตหรือบอเดอร์พาส ให้หัวหน้าชุดประสานงานฝ่ายกัมพูชารับรองสามารถเข้ามาได้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม
2. ด้านการศึกษา จะมีการพัฒนาคนร่วมกัน โดยแลกเปลี่ยนทางด้านการศึกษา ซึ่งกัมพูชาจะส่งนักศึกษาเข้ามาเรียนระดับปริญญาตรี การฝึกอาชีพระยะสั้น ทั้งด้านการเกษตรและนอกการเกษตร
3. ด้านการค้าขาย จะเน้นบัตรผ่านแดนเป็นสำคัญ ซึ่งได้กำหนดให้ใช้พาสปอร์ตและบอเดอร์พาส แต่พ่อค้า แม่ค้าชาวกัมพูชาส่วนมากแล้วไม่มี ดังนั้นจึงได้ให้อนุโลมให้ใช้อิมมิเกรชันการ์ด และตั๋วฉีก ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้ร้องขอมา จึงอนุโลมให้ใช้ได้ โดยหากชาวกัมพูชาใช้พาสปอร์ตเข้ามาภายในประเทศไทยสามารถเดินทางไปได้ทั่วประเทศ ภายในระยะเวลาเพียง 15 วัน แต่หากใช้บอเดอร์พาสสามารถเดินทางไปหาซื้อขายสินค้าได้ถึงตัว จ.ศรีสะเกษ ระหว่างเวลา 08.00-16.00 น.ทุกวัน เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ ส่วนรถของนักท่องเที่ยวนั้นจะอำนวยความสะดวกให้เข้ามาถึงบริเวณด่านที่จะพัฒนาให้มีที่จอดรถเป็นการชั่วคราว แต่หากมีการจอดค้างคืนต้องลงไปจอดที่เมืองใหม่ช่องสะงำ
4. ด้านไฟฟ้า น้ำประปา ทางฝ่ายกัมพูชาต้องการให้ขยายเขตไฟฟ้าเข้าไปในเขตกัมพูชา ซึ่งทาง จ.ศรีสะเกษมีความพร้อม แต่ฝ่ายกัมพูชาต้องทำเรื่องเสนอขอเข้ามา เพื่อจะได้เสนอเรื่องไปยังกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการต่างประเทศตามระบบ
อีกทั้งปัญหาภัยแล้ง ซึ่งชาวกัมพูชามีปัญหาเรื่องภัยแล้งมาก จ.ศรีสะเกษจะช่วยเหลือส่งน้ำจากฝั่งไทยไปยังฝั่งกัมพูชา เนื่องจากมีโครงการหมู่บ้านคู่ขนานระหว่างไทย- กัมพูชา ที่จะต้องให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
และ 5. ในเรื่องการท่องเที่ยว เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดจะต้องเปิดการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกันเป็นหุ้นส่วนกัน ซึ่งประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวจำนวนมาก ส่วนคนไทยจะไปเที่ยวที่นครวัด นครธม จึงต้องทำให้เป็นหุ้นส่วนการท่องเที่ยว
นายยุทธนากล่าวอีกว่า ส่วนความมั่นคง ทาง ผบ.กกล.สุรนารีได้มีการพูดคุยกับฝ่ายกัมพูชาจะเปลี่ยนบริเวณนี้จากสนามรบเป็นสนามการค้า และสร้างความเจริญรุ่งเรืองซึ่งกันและกัน เป็นจุดมุ่งหมายที่ประชาคมอาเซียนกำหนดไว้ในการที่จะมุ่งสู่ความเจริญของทั้งสองฝั่ง
สำหรับในวันนี้ไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องเขตแดนแต่อย่างใด โดยเรื่องการปักปันเขตแดนให้เป็นเรื่องของรัฐบาลต่อรัฐบาลคุยกัน แต่ในระดับท้องถิ่น เรากำหนดไว้ว่าห่างจากจุดสมมติข้างละกี่เมตรก็ว่ากันไป ไม่มีการพูดคุยกันเรื่องปัญหาชายแดนแต่อย่างใด
