ผู้นำด้านการผลิตที่นอนและเครื่องนอนคุณภาพระดับพรีเมียม ต่อยอดธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อการพักผ่อนคุณภาพสูง พร้อมขยายตลาดส่งออก หวังเพิ่มยอดขาย 50%
นายนพพล เตชะพันธ์งาม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สมพลเบดดิ้ง แอนด์ แมทเทรส อินดัสตรี จำกัด (เอสพีบี) หนึ่งในผู้นำด้านการผลิตที่นอนและเครื่องนอนคุณภาพระดับพรีเมียมอย่างแบรนด์ “สปริงเมท” (Springmate) ที่มีวางจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในปี 2558 บริษัทฯ ได้ปรับขยายวิสัยทัศน์จากเดิมที่มุ่งเน้นด้านการผลิตและจัดจำหน่ายที่นอนและเครื่องนอนคุณภาพแต่เพียงอย่างเดียว เปลี่ยนเป็นมุ่งเน้นด้านการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการพักผ่อนคุณภาพสูง (The Purveyor of Rest) เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคได้พักผ่อนอย่างสบายมากขึ้นในทุกโอกาสตามไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบ
บริษัทฯ ยังเพิ่มช่องทางทางธุรกิจด้วยการขยายพอร์ตโฟลิโอนอกเหนือจากที่นอนและเครื่องนอน “สปริงเมท” (Springmate) “เซเนเทล” (Senetel) และเครื่องเงินชั้นสูง “รอบบี้ แอนด์ เบิร์กกิ้ง” (Robbe & Berking) จากประเทศเยอรมนีแล้ว ยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยของผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า “คาโบ” (Cabeau) ผู้นำด้านนวัตกรรมสำหรับสินค้าสำหรับการเดินทางจากประเทศสหรัฐอเมริกา และ “พาร์กเกอร์ แอนด์ มอร์แกน” (Parker&Morgan) เครื่องนอนระดับลักชัวรี (luxury) จากประเทศสหรัฐอเมริกา
บริษัทฯ ยังเร่งขยายตลาดค้าปลีกในประเทศและส่งออกตลาด จากตลาดโครงการโรงแรม รีสอร์ต โรงพยาบาล และโครงการที่พักอาศัยขนาดใหญ่ในประเทศ ทำให้ปัจจุบันเอสพีบีมีช่องทางจำหน่ายที่ครอบคลุมตลาดโมเดิร์นเทรดในประเทศแทบทุกช่องทาง เช่น เอสบี ดีไซน์สแควร์, ห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัล, เดอะมอลล์, โรบินสัน, แม็คโคร, เมกาโฮม, ฟลายนาว แฟคตอรี่ เอาท์เล็ท, โฮมเวิร์คส์ และช่องทางจำหน่ายออนไลน์อย่าง ลาซาด้า เป็นต้น โดยมีการส่งออกสินค้าไปกว่า 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
นายนพพล กล่าวว่า เอสพีบี มุ่งเน้นการเป็นผู้นำด้านสินค้าสำหรับการนอนหลับและการพักผ่อน ซึ่งในปีที่ผ่านมายอดขายของบริษัทฯ แบ่งออกเป็นสัดส่วนจากตลาดโครงการในประเทศร้อยละ 65 ผ่านช่องทางค้าปลีกในประเทศร้อยละ 19 และผ่านช่องทางต่างประเทศ อันประกอบไปด้วยงานโครงการ ตลาดค้าปลีก และงาน OEM (การผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ต่างๆ) ร้อยละ 16 โดยมีการผลิตที่นอนและเครื่องนอนเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในหลายๆ ระดับ ภายใต้แบรนด์ “สปริงเมท” (Springmate) แบรนด์ดั้งเดิมของบริษัทซึ่งมีสินค้าเป็นที่นอน เครื่องนอน และของใช้เบ็ดเตล็ดสำหรับโรงแรมครบวงจร และบริการรับสั่งทำที่นอนและเครื่องนอนรูปแบบพิเศษ (Customization) เหมาะสำหรับลูกค้าทั่วไประดับ B ถึง A และ “เซเนเทล” (Senetel) ที่นอนและเครื่องนอนสำหรับลูกค้าทั่วไประดับ B- ถึง B
บริษัทฯ ยังได้ต่อยอดธุรกิจที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการโรงแรม ด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มัลดีฟส์ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนามของ “รอบบี้ แอนด์ เบิร์กกิ้ง” (Robbe & Berking) ผลิตภัณฑ์เครื่องเงินชั้นสูงระดับลักชัวรีอันเก่าแก่จากประเทศเยอรมนี มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 โดยในปัจจุบันเครื่องเงิน “รอบบี้ แอนด์ เบิร์กกิ้ง” เป็นที่นิยมใช้ในโรงแรมและรีสอร์ตระดับ 5 ดาวขึ้นไป และเหมาะกับลูกค้าทั่วไประดับ A+
นายนพพล กล่าวอีกว่า ในปี 2558 บริษัทฯ ตั้งใจที่จะสานต่อธุรกิจ โดยยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาปรับปรุงระบบการบริหารและระบบการผลิตให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้นในระดับนานาชาติ ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบลูกค้าสัมพันธ์ การขยายกำลังการผลิต การพัฒนาสินค้า การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจในระดับนานาชาติ ตลอดจนการขยายตลาดโครงการและตลาดค้าปลีกภายในประเทศ ผ่านการขยายทีมขายให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงตลาดโดยรวมในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยคาดว่าจะมียอดขายที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอีกประมาณร้อยละ 50
นายนพพล เตชะพันธ์งาม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สมพลเบดดิ้ง แอนด์ แมทเทรส อินดัสตรี จำกัด (เอสพีบี) หนึ่งในผู้นำด้านการผลิตที่นอนและเครื่องนอนคุณภาพระดับพรีเมียมอย่างแบรนด์ “สปริงเมท” (Springmate) ที่มีวางจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในปี 2558 บริษัทฯ ได้ปรับขยายวิสัยทัศน์จากเดิมที่มุ่งเน้นด้านการผลิตและจัดจำหน่ายที่นอนและเครื่องนอนคุณภาพแต่เพียงอย่างเดียว เปลี่ยนเป็นมุ่งเน้นด้านการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการพักผ่อนคุณภาพสูง (The Purveyor of Rest) เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคได้พักผ่อนอย่างสบายมากขึ้นในทุกโอกาสตามไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบ
บริษัทฯ ยังเพิ่มช่องทางทางธุรกิจด้วยการขยายพอร์ตโฟลิโอนอกเหนือจากที่นอนและเครื่องนอน “สปริงเมท” (Springmate) “เซเนเทล” (Senetel) และเครื่องเงินชั้นสูง “รอบบี้ แอนด์ เบิร์กกิ้ง” (Robbe & Berking) จากประเทศเยอรมนีแล้ว ยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยของผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า “คาโบ” (Cabeau) ผู้นำด้านนวัตกรรมสำหรับสินค้าสำหรับการเดินทางจากประเทศสหรัฐอเมริกา และ “พาร์กเกอร์ แอนด์ มอร์แกน” (Parker&Morgan) เครื่องนอนระดับลักชัวรี (luxury) จากประเทศสหรัฐอเมริกา
บริษัทฯ ยังเร่งขยายตลาดค้าปลีกในประเทศและส่งออกตลาด จากตลาดโครงการโรงแรม รีสอร์ต โรงพยาบาล และโครงการที่พักอาศัยขนาดใหญ่ในประเทศ ทำให้ปัจจุบันเอสพีบีมีช่องทางจำหน่ายที่ครอบคลุมตลาดโมเดิร์นเทรดในประเทศแทบทุกช่องทาง เช่น เอสบี ดีไซน์สแควร์, ห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัล, เดอะมอลล์, โรบินสัน, แม็คโคร, เมกาโฮม, ฟลายนาว แฟคตอรี่ เอาท์เล็ท, โฮมเวิร์คส์ และช่องทางจำหน่ายออนไลน์อย่าง ลาซาด้า เป็นต้น โดยมีการส่งออกสินค้าไปกว่า 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
นายนพพล กล่าวว่า เอสพีบี มุ่งเน้นการเป็นผู้นำด้านสินค้าสำหรับการนอนหลับและการพักผ่อน ซึ่งในปีที่ผ่านมายอดขายของบริษัทฯ แบ่งออกเป็นสัดส่วนจากตลาดโครงการในประเทศร้อยละ 65 ผ่านช่องทางค้าปลีกในประเทศร้อยละ 19 และผ่านช่องทางต่างประเทศ อันประกอบไปด้วยงานโครงการ ตลาดค้าปลีก และงาน OEM (การผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ต่างๆ) ร้อยละ 16 โดยมีการผลิตที่นอนและเครื่องนอนเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในหลายๆ ระดับ ภายใต้แบรนด์ “สปริงเมท” (Springmate) แบรนด์ดั้งเดิมของบริษัทซึ่งมีสินค้าเป็นที่นอน เครื่องนอน และของใช้เบ็ดเตล็ดสำหรับโรงแรมครบวงจร และบริการรับสั่งทำที่นอนและเครื่องนอนรูปแบบพิเศษ (Customization) เหมาะสำหรับลูกค้าทั่วไประดับ B ถึง A และ “เซเนเทล” (Senetel) ที่นอนและเครื่องนอนสำหรับลูกค้าทั่วไประดับ B- ถึง B
บริษัทฯ ยังได้ต่อยอดธุรกิจที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการโรงแรม ด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มัลดีฟส์ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนามของ “รอบบี้ แอนด์ เบิร์กกิ้ง” (Robbe & Berking) ผลิตภัณฑ์เครื่องเงินชั้นสูงระดับลักชัวรีอันเก่าแก่จากประเทศเยอรมนี มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 โดยในปัจจุบันเครื่องเงิน “รอบบี้ แอนด์ เบิร์กกิ้ง” เป็นที่นิยมใช้ในโรงแรมและรีสอร์ตระดับ 5 ดาวขึ้นไป และเหมาะกับลูกค้าทั่วไประดับ A+
นายนพพล กล่าวอีกว่า ในปี 2558 บริษัทฯ ตั้งใจที่จะสานต่อธุรกิจ โดยยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาปรับปรุงระบบการบริหารและระบบการผลิตให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้นในระดับนานาชาติ ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบลูกค้าสัมพันธ์ การขยายกำลังการผลิต การพัฒนาสินค้า การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจในระดับนานาชาติ ตลอดจนการขยายตลาดโครงการและตลาดค้าปลีกภายในประเทศ ผ่านการขยายทีมขายให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงตลาดโดยรวมในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยคาดว่าจะมียอดขายที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอีกประมาณร้อยละ 50