xs
xsm
sm
md
lg

อัด “กสทช.” แจกกล่องดิจิตอลเหลว “PPTV” ทุ่ม 1.6 พันล้านสร้างคอนเทนต์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“เขมทัตต์ พลเดช” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (BMB)
จวก กสทช.สอบตกแจกกล่องทีวีดิจิตอล “PPTV” แนะทางแก้แลกเป็นกล่องทีวีดาวเทียมช่วย ชี้ปีนี้ดิจิตอลทีวีจัดเต็มหากทุกอย่างเข้าที่ ล่าสุดอัดอีก 1.6 พันล้านบาทสร้างคอนเทนต์เรตติ้ง หวังสิ้นปีขึ้น “ท็อป 5” ในกลุ่มช่องทีวีดิจิตอล พร้อมรับรายได้ที่ 700 ล้านบาทด้วยเรตโฆษณาคงที่ 2 แสนบาทต่อนาที ไม่มีปรับขึ้น

นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (BMB) ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ดิจิตอล PPTV HD เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมทีวีดิจิตอลตลอดปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเรื่องของการแจกกล่องทีวีดิจิตอลถือเป็นผลการดำเนินงานที่ไม่ประสบความสำเร็จ ประชาชนไม่สนใจแลกคูปองกล่องทีวีดิจิตอล หรือแลกมาแล้วไม่สามารถรับชมทีวีดิจิตอลได้ ส่งผลให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลประสบปัญหาเรตติ้งต่ำ รวมถึงตัวผู้ผลิตกล่องทีวีดิจิตอลเองไม่สามารถรับเงินอุดหนุนได้ ปัญหาต่างๆ จะวนเวียนอยู่แบบนี้

“กล่องทีวีดิจิตอลที่แจกออกไปในความเป็นจริงเป็นกล่องที่ไม่สนับสนุนทีวีดิจิตอลทั้ง 24 ช่องเลย ที่แจกมาประชาชนไม่สนใจ ขณะที่เรตติ้งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมที่สามารถรับชมทีวีดิจิตอลได้อยู่แล้ว ดังนั้นช่องทีวีดิจิตอลที่เกิดจากช่องดาวเทียมมาก่อนจึงได้เปรียบ และขณะนี้หลายๆ ช่องต่างมุ่งหาแพลตฟอร์มเคเบิลและทีวีดาวเทียมเพื่อเช่าสัญญาณและได้เลขช่องที่ดีเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ชมด้วยตนเอง ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มในการเช่าสัญญาณเพิ่มอีกเดือนละ 2 ล้านบาท ทั้งๆ ที่การประมูลช่องทีวีดิจิตอลมีราคาสูงมากอยู่แล้ว”

จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจึงอยากให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พิจารณาทางแก้ 3 หลัก คือ 1. สามารถนำคูปองที่แจกมาแลกกล่องทีวีดาวเทียมแทนกล่องทีวีดิจิตอลได้ 2. สามารถเรียงเลขช่องทีวีดิจิตอลตามที่ประมูลมาได้จริงจะส่งผลดีอย่างยิ่ง และ 3. โครงข่ายสัญญาณให้บริการพร้อมกันทั้ง 3 โครงข่ายจะส่งผลให้การเกิดของทีวีดิจิตอลมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายเขมทัตต์กล่าวต่อว่า ในส่วนของ PPTV HD ปีนี้ยังพร้อมเดินหน้าลงทุนอีกกว่า 1.6 พันล้านบาท แบ่งออกเป็นคอนเทนต์ 1 พันล้านบาท เทคโนโลยี 250 ล้านบาท มาร์เกตติ้ง 200 ล้านบาท สตูดิโอ 100 ล้านบาท และนิวมีเดีย 100 ล้านบาท โดยมีการปรับคอนเทนต์รายการเพิ่มเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงและชัดเจนขึ้น ด้วยการปรับรายการเดิมออกไป 10-20% และมีการนำเสนอรายการที่มีเรตติ้งสูงมากขึ้น เช่น รายการข่าวที่จะนำมาใช้เป็นคอนเทนต์หลักในปีนี้ โดยมีการเพิ่มรายการคุยข่าวอีก 1 รายการคือ “เป็นเรื่องเป็นข่าว” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 20-30-21.30 น. รวมถึงมีการนำเสนอละครไทยอีกอย่างน้อย 8-10 เรื่อง เช่น เพลิงดาว จากผู้จัด “เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร”, ปริศนาและเจ้าสาวของอานนท์ จากผู้จัด “ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง ยุคล รัตตกุล” เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปีนี้จะมีการลงทุนด้านคอนเทนต์ต่อเนื่อง แต่ในแง่ราคาโฆษณาจะยังคงตรึงราคาไว้ที่เรตการ์ด 2 แสนบาทต่อนาที โดยมองว่าจะต้องมุ่งสร้างเรตติ้งให้ได้ก่อนการปรับราคาโฆษณาจึงจะตามมา ขณะที่ปัจจุบันช่องทีวีดิจิตอลส่วนใหญ่จะไม่ปรับราคาขึ้นเช่นกัน อีกทั้งยังมีการให้ส่วนลดอยู่ที่ 60-80% ด้วยซ้ำ เนื่องจากเรตติ้งยังไม่มี ซึ่งปีนี้มีแนวโน้มว่าทางช่องหลักอย่างช่อง 3 และช่อง 7 ก็เริ่มมีการให้ส่วนลดที่ 15% เช่นกัน จากการที่มีคู่แข่งเข้ามาในตลาด โดยในส่วนของ PPTV มองว่าภายในปีนี้รายการหลักน่าจะมีโฆษณาเข้ามาเต็มที่ 90-100% ของพื้นที่ที่สามารถลงโฆษณาได้ หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 80% ของทั้งผังจากที่ผ่านมาอยู่ที่ 40%

“การปรับคอนเทนต์และผังรายการใหม่ครั้งนี้เพื่อตอกย้ำความเป็นพรีเมียมแมสมากขึ้นซึ่งจะมีการนำเสนอคอนเทนต์ที่หลากหลาย ทั้งกีฬา ละครไทย และซีรีส์เกาหลีและญี่ปุ่น เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้เรตติ้งรวมของสถานีฯ ติดท็อป 5 ในกลุ่มทีวีดิจิตอลที่ไม่รวมช่อง 3, 5, 7 และ 9 ภายในสิ้นปีนี้ พร้อมมีรายได้ที่ 700 ล้านบาท” นายเขมทัตต์กล่าวสรุป




กำลังโหลดความคิดเห็น