ผู้นำตลาดขนมและของว่างในไทย “มอนเดลีซ” รุกหนักตลาดช็อกโกแลต นำเข้า “แคดเบอรี” แบรนด์อันดับ 1 จากเมืองผู้ดี หลังตลาดไทยโตปีละ 10% ต่อเนื่อง 3 ปี มูลค่ารวม 5.1 พันล้านบาท โวยอดขาย 2 เดือนแย่งแชร์ได้ 3.3% ตั้งงบฯ 100 ล้านบาทลุยการตลาดเต็มสูบ มุ่งสู่ผู้นำอันดับ 3 ด้วยแชร์ 10% ในปี 58
นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำตลาดด้านลูกอม ขนมและของว่างในประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ทั้งหมดใน 5 กลุ่ม ได้แก่ ลูกอม, หมากฝรั่ง, ชีส, แครกเกอร์ และช็อกโกแลต โดยล่าสุดเมื่อประมาณเดือน พ.ย. 57 เพิ่งเปิดตลาดช็อกโกแลตนม “แคดเบอรี” (Cadbury) จากประเทศอังกฤษ หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทฯ มีช็อกโกแลต “ทอปเบอโรน” (TOBLERONE) อยู่ในตลาดแล้ว
ตลาดช็อกโกแลตในประเทศไทยมี 4 เซกเมนต์ คือ ชนิดบาร์ หรือแท่ง (Moulded) ชนิดสอดไส้ (Countline) ชนิดชิ้นพอดีคำ (Bite Size) และชนิดของขวัญ (Gifting) มูลค่ารวมประมาณ 5.1 พันล้านบาท แต่ละปีมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2555-2557) เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% โดยส่วนใหญ่ใช้ช่องทางจัดจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อ 60% ห้างสรรพสินค้า 33% และร้านโชวห่วย 7% ขณะที่ผู้บริโภคหลักเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยเริ่มทำงานทั้งชายและหญิงที่มีอายุ 15-34 ปี แบ่งเป็นผู้หญิง 60% ผู้ชาย 40%
ช็อกโกแลต “แคดเบอรี” ถือเป็นแบรนด์อันดับ 1 ของโลกที่มีประวัติยาวนานนับ 200 ปี มีการจำหน่ายกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ด้วยยอดขายกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี โดยในส่วนของการทำตลาดในประเทศไทยถือว่าประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจมาก เพราะหลังจากเปิดตลาดเพียง 2 เดือนปรากฏว่าสามารถทำยอดขายจนได้ส่วนแบ่งการตลาดถึง 3.3% และสูงถึง 5.4% ในตลาดรวม เมื่อรวมกับช็อกโกแลต “ทอปเบอโรน”
บริษัทฯ จึงตั้งเป้าหมายว่าเมื่อถึงสิ้นปี 2558 จะสามารถทำส่วนแบ่งได้ประมาณ 10% และเป็นบริษัทอันดับ 3 รองจากอันดับ 2 คือ “ไมโล” และ “คิทแคท” ผู้นำในตลาดรวม “ตลาดช็อกโกแลตในประเทศไทยยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตอีกมาก ดังจะเห็นได้จากอัตราการบริโภคต่อคนซึ่งยังมีเพียงคนละ 0.1 กิโลกรัมต่อปีเท่านั้น ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย บริโภคคนละ 0.3 กิโลกรัมต่อปี ส่วนสหรัฐอเมริกาบริโภคสูงถึง 8-9 กิโลกรัมต่อปี โดยประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีการบริโภคสูงที่สุดในโลกถึงคนละ 11.9 กิโลกรัมต่อปี”
ในปี 2558 บริษัทฯ เตรียมใช้งบประมาณ 100 ล้านบาททำการตลาดครบวงจร 360 องศา ตั้งแต่การเปิดตัวแคมเปญ การจัดโปรโมชัน ณ จุดขาย การจัดทำภาพยนตร์โฆษณา การจัดทำบรรจุภัณฑ์รุ่นพิเศษในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ และอื่นๆ รวมทั้งแคมเปญไวรัลมาร์เกตติ้ง “Say it with Cadbury” ผ่านโซเชียลมีเดีย ทั้งแฟนเพจ อินสตาแกรม และยูทิวบ์
แคมเปญดังกล่าวถือเป็นไฮไลต์ที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษในการสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภค โดยใช้งบประมาณ 50 ล้านบาท นำเข้าเครื่องสลักลายช็อกโกแลตจากประเทศมาเลเซียจำนวน 11 เครื่อง มาจัดกิจกรรมออกบูทให้ลูกค้าสามารถประทับข้อความพิเศษต่างๆ ลงบนแท่งช็อกโกแลตเพื่อส่งผ่านความรักและความประทับใจไปยังผู้รับเนื่องในโอกาสเทศกาลแห่งความรักในช่วงวันวาเลนไทน์ โดยจะเริ่มจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 6-15 ก.พ. 58 ณ ชั้น 3 ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 และวันที่ 12-14 ก.พ. 58 ณ ชั้น 4 สยามพารากอน จากนั้นจะกระจายไปยังเทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี และท็อปส์สาขาต่างๆ ทั่วประเทศ
“เทศกาลวันวาเลนไทน์ถือเป็นช่วงที่ตลาดรวมมีการเติบโตสูงสุดใกล้เคียงกับช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ซึ่งมียอดขายสูงกว่าปกติประมาณ 40% โดยปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ในตลาดมากกว่า 200 แบรนด์ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายดีที่สุดมีราคาเฉลี่ย 20-45 บาท คิดเป็นปริมาณ 50% ของตลาดรวม โดยในส่วนของ แคดเบอรี มีจำหน่าย 4 ขนาดและราคา คือ ขนาด 15 กรัม ราคา 15 บาท ขนาด 30 กรัม ราคา 24 บาท ขนาด 65 กรัม ราคา 49 บาท และขนาด 165 กรัม ราคา 119 บาท” นายฐานันท์กล่าวในที่สุด