“พาณิชย์” ยันขึ้นราคาแอลพีจีกิโลกรัมละ 1 บาทกระทบต้นทุนอาหารจานด่วน ก๋วยเตี๋ยว แค่ 30 สตางค์ ห้ามพ่อค้าแม่ค้าใช้เป็นข้ออ้างปรับขึ้นราคา พร้อมส่งสายตรวจออกตรวจสอบทั่วประเทศ หากพบเจอ เรียกชี้แจงต้นทุนทันที ถ้าไม่เชื่อเจอกฎหมายจัดการ ระบุต้นทุนภาคขนส่งก็กระทบไม่มาก เหตุรถส่วนใหญ่ใช้ดีเซล แถมดีเซลลดลงอีก ย้ำห้างต้องขายกระเช้าที่ดี มีคุณภาพ และเปลี่ยนได้
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังการตรวจสอบการจำหน่ายสินค้ากระเช้าของขวัญและสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ห้างเซ็นทรัล สาขารัตนาธิเบศร์ว่า กรมฯ ได้วิเคราะห์ต้นทุนการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในอัตรา 1.03 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) หรือจาก 23.13 บาท เป็น 24.16 บาทต่อ กก. พบว่าส่งผลต่อต้นทุนอาหารปรุงสำเร็จและก๋วยเตี๋ยวเพิ่มขึ้น 30 สตางค์ต่อจาน ร้านค้าไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการปรับราคาอาหารจานละ 5-10 บาท ซึ่งเบื้องต้นได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศออกตรวจสอบสถานการณ์ราคาอาหารอย่างเข้มงวด หากพบว่าร้านค้าใดปรับขึ้นราคาแบบไม่มีเหตุผล ก็จะเชิญมาชี้แจงต้นทุนต่อไป
“ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่สายตรวจ ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ออกตรวจสอบราคาสินค้าอย่างสม่ำเสมอ หากพบผู้ประกอบการมีการปรับขึ้นราคาสินค้า โดยการใช้ข้ออ้างการปรับขึ้นของราคาพลังงาน จะถือว่าเป็นการปรับขึ้นราคาอย่างไม่สมเหตุสมผล ซึ่งเบื้องต้นจะใช้มาตรการในการตักเตือนก่อน หากยังไม่เชื่อฟังก็ต้องใช้มาตรการทางกฎหมายกันต่อไป แต่ยอมรับว่าการดำเนินคดีนั้น กรมฯ ไม่อยากทำกับรายย่อย” นายบุณยฤทธิ์กล่าว
ทั้งนี้ เห็นว่าแนวโน้มราคาอาหารปรุงสำเร็จจะยังคงทรงตัว เพราะไม่มีแรงกดดันมากนัก โดยแม้ก๊าซหุงต้มจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ราคาวัตถุดิบในการประกอบอาหารอื่นๆ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ และผักสด ยังไม่ปรับขึ้นราคา ขณะที่บางรายการมีราคาต่ำกว่าปีก่อนอีก
นายบุณยฤทธิ์กล่าวว่า สำหรับผลกระทบของการปรับขึ้นราคาแอลพีจีและเอ็นจีวีต่อภาคการขนส่ง พบว่าไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการขนส่งมาก เพราะรถบรรทุกส่วนใหญ่มีการใช้น้ำมันดีเซล จึงไม่สามารถนำข้ออ้างในการปรับขึ้นราคาสินค้าในภาพรวมได้ ขณะเดียวกัน ผลพวงจากการปรับลดราคาน้ำมันดีเซล โดยปัจจุบันราคาอยู่ที่ลิตรละ 28.39 บาท ทำให้ต้นทุนในการขนส่งลดลงเป็นอย่างมาก ซึ่งกรมฯ ขอให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอานิสงส์จากน้ำมันดีเซลที่ลดลง ช่วยปรับลดราคาสินค้าในส่วนนี้ลงด้วย
อย่างไรก็ตาม มีความมั่นใจว่าสถานการณ์ราคาสินค้าจะยังคงทรงตัว และไม่มีการปรับขึ้นราคา แม้จะพ้นช่วงตรึงราคาสินค้าไปแล้ว เพราะไม่มีแรงกดดันทางด้านวัตถุดิบที่สูงขึ้น โดยคาดว่าจะไม่มีการปรับขึ้นราคายาวไปถึงเดือน ม.ค.-ก.พ. 2558
นายบุณยฤทธิ์กล่าวว่า สำหรับการตรวจสอบกระเช้าของขวัญปีใหม่ตามห้างร้านต่างๆ เป็นการสอดส่องดูแลเพื่อให้ประชาชนได้หาซื้อสินค้าอย่างสบายใจว่าจะได้สินค้าดีมีคุณภาพ โดยกรมฯ ได้ร่วมมือกับห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก นำสินค้ามาจัดเป็นกระเช้าของขวัญ ต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ มีการระบุวันผลิต วันหมดอายุ ชนิด ราคาสินค้า ราคากระเช้า การรับประกัน การคืนสินค้ากรณีชำรุดหรือได้รับความเสียหาย รวมถึงป้ายแสดงราคาสินค้า และตัวอักษรต้องชัดเจน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการเป็นอย่างดี
น.ส.ภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด กล่าวว่า ยอดขายกระเช้าของขวัญปีนี้มียอดขายเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15% โดยกระเช้าของขวัญที่ประชาชนสนใจมากที่สุดจะมีราคาตั้งแต่ 1,000-2,500 บาท แม้ว่าการบริโภคของประชาชนยังชะลอตัว แต่การซื้อกระเช้าของขวัญได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นสวนทาง ซึ่งกระเช้าของขวัญจะเริ่มขายดีตั้งแต่เดือน พ.ย.เป็นต้นไป และจะมีความต้องการเพิ่มเป็นพิเศษในช่วง 2 สัปดาห์ต่อจากนี้
“ตอนนี้มียอดจองกระเช้าของขวัญเยอะมาก และทางบริษัทเองก็จะมีรูปแบบกระเช้ากว่า 100 รูปแบบให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ รวมถึงการนำสินค้าที่หลากหลายมาบรรจุ เช่น กระเช้าผัก ผลไม้ สินค้าชุมชน สินค้าโอทอป สินค้าสุขภาพและจากต่างประเทศ เป็นต้น โดยมีราคาขั้นต่ำตั้งแต่ 189-4,999 บาท ที่สำคัญราคากระเช้าที่มีราคาสูงยอดขายหมดแล้ว และกำลังจะมีการผลิตเพิ่ม” น.ส.ภัทรพรกล่าว