ดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือน ต.ค.อยู่ที่ 87.5 กระเตื้องขึ้นเล็กน้อยหลังได้รับออเดอร์ช่วงปลายปีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ จี้รัฐเร่งหามาตรการช่วยเหลือราคาสินค้าเกษตรกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ต.ค.2557 จำนวน 1,144 ราย ครอบคลุม 42 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ 87.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่อยู่ระดับ 86.1 สาเหตุที่ทำให้ค่าดัชนีเดือนนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากปรับตัวลดลง 2 เดือนติด มาจากยอดคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปลายปี โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่น อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ
ส่วนการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านที่ขยายตัวดีขึ้น รวมทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกก็มีการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น แต่ผู้ประกอบการก็ยังมีความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศอยู่ จึงอยากเห็นการเร่งรัดแผนการลงทุนและการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐให้มากขึ้น เพราะจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว และสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนของภาคเอกชน
นายสุพันธุ์กล่าวต่อไปว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ 105.7 เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.ย.ที่อยู่ระดับ 104.7 เนื่องจากได้อานิสงส์จากยอดขายและยอดคำสั่งซื้อดีขึ้น รวมทั้งผลประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลเรื่องผลกระทบจากราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนลดลง
แม้ว่าดัชนีเชื่อมั่นฯ ภาคอุตสาหกรรมเริ่มปรับตัวดีขึ้น แต่มองว่าจีดีพีปีนี้ไม่น่าโตเกิน 1.5% เพราะการส่งออกและเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ดีเท่าที่ควร หากรัฐสามารถเดินหน้าได้ตามแผนโรดแมปที่วางไว้เชื่อว่าจีดีพีปีหน้าจะดีขึ้นกว่านี้ โดยเฉพาะหากมีการยกเลิกกฎอัยการศึกจะดึงการประชุมนานาชาติและนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น
นายสุพันธุ์กล่าวว่า ภาคเอกชนเห็นว่ารัฐบาลควรจะเร่งหามาตรการช่วยเหลือราคาสินค้าเกษตรในระยะกลางและยาวให้ชัดเจนออกมา โดยเฉพาะราคาข้าวและยางพารา เพราะจะมีผลต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่อง รวมทั้งยังมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศด้วย เนื่องจากเมื่อเกษตรกรมีรายได้มากขึ้นก็จะเกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นตามไปด้วย แต่จะต้องปรับกลไกการช่วยเหลือให้สอดคล้องกับสถานการณ์ไม่ให้เกิดปัญหาคอร์รัปชันเหมือนที่ผ่านมา ขณะที่การลงทุนทั้งของภาครัฐที่คาดว่าปีหน้าจะโต 2 หลัก รวมทั้งการลงทุนจากภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศปีหน้าให้โตได้ถึง 4-4.5% ได้