เวทีเสวนาถาม-ตอบพลังงาน “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ครั้งสุดท้าย ได้ข้อยุติร่วมลงนามสัตยาบันรวบรวมข้อคิดเห็นเพื่อเสนอแนวทางการปฏิรูปให้กับรัฐบาลพิจารณา พลังงานรับปากจะหารือข้อเสนอนำกำไรจากการขุดเจาะสัมปทานปิโตรเลียมมาสนับสนุนพลังงานทางเลือก แก้กฎหมายพลังงานให้เป็นฉบับเดียว
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2557 ที่ศาลาปฏิบัติธรรม วัดอ้อน้อย ตำบลห้วยขวาง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย เป็นประธานการเสวนาชี้ทิศทางพลังงานประเทศไทยรอบที่ 4 โดยมีกลุ่มฝ่ายผลประโยชน์ ประกอบด้วย (ฝ่าย ปตท.) นำโดยนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการ บมจ.ปตท. นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รองกรรมการ บมจ.ปตท. และนายประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจพลังงาน-ค่าไฟฟ้า ฯลฯ กลุ่มพลังงาน ประกอบด้วย นายวีรพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงาน ฯลฯ และกลุ่มภาคประชาชน ประกอบด้วย นายอรรถพล อรุโณรส กรรมการสภาประชาชนคนแจ้งวัฒนะ นายสิระ เจนจาคะ สภาปฏิรูปแห่งชาติด้านสังคม ฯลฯ โดยหลังจากจบการเสวนาได้มีการลงนามสัตยาบันร่วมกันเพื่อนำเสนอในการปฏิรูปต่อไป
ทั้งนี้ ในเวทีดังกล่าวได้มีการถกเถียงถึงประเด็นการเปิดสำรวจสัมปทานรอบใหม่ ที่เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อชาติแบบยั่งยืน และมั่นคง แต่ก็มีการเสนอให้ผู้ประกอบการเอาเงินกำไรมาสนับสนุนพลังงานทางเลือกเพื่อให้เกิดทางรอด แล้วหาวิธีชดเชยบุคคลผู้ที่ได้รับผลกระทบรอบๆ หลุมเจาะน้ำมัน ซึ่งถือว่าเป็นการคืนกำไรให้แก่ภาคประชาชน อย่างไรก็ตาม กลุ่มพลังงาน รับปากว่าจะนำไปหารือรวมทั้งประเด็นการรวมกฎหมาย 4 ฉบับ เป็น 1 เดียว
ทั้งนี้ หลวงปู่ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การต่ออายุสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ในช่วงที่กำลังมีสภาปฏิรูป เนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วนเพราะไทยยังต้องซื้อก๊าซธรรมชาติมาผลิตไฟฟ้าอยู่ เมื่อดูตัวเลขการผลิตในแต่ละรอบเดือน รอบปีแล้วลดลงตลอด อย่างนี้เท่ากับว่าพลังงานมีปัญหา ดังนั้นการเปิดสัมปทานรอบใหม่จึงน่าจะมีประโยชน์ต่อชาติแบบยั่งยืนและมั่นคง รวมทั้งเป็นไปได้ไหมถ้าผู้ประกอบการเอาเงินกำไรมาสนับสนุนพลังงานทางเลือก เพื่อให้เกิดทางรอด แล้วหาวิธีชดเชยบุคคลผู้ที่ได้รับผลกระทบรอบๆ หลุมเจาะน้ำมัน ซึ่งถือว่าเป็นการคืนกำไรให้แก่ภาคประชาชน
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการใช้แอลพีจีของปิโตรเคมีของ ปตท. ที่ใช้ราคาต่ำกว่ารายอื่นๆ และมีมติคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) ให้จัดสรรปิโตรเคมีก่อนภาคอื่นๆ ซึ่งได้มีการชี้แจงว่า ราคาแอลพีจีเฉลี่ยปี 2556 เมื่อรวมที่ซื้อจากโรงแยกก๊าซ และโรงกลั่นอยู่ที่ 22.85 บาทต่อกิโลกรัม ไม่รวมภาษีฯ และเงินกองทุนน้ำมันฯ โดยไม่ได้ถูกกว่าแอลพีจีภาคอื่นๆ และการจัดสรรนั้นไม่ได้ถูกระบุว่า ให้เป็นปิโตรเคมีก่อน เพราะให้จัดสรรภาคครัวเรือนด้วย และต้องเข้าใจถึงที่มาอุตสาหกรรมนี้ที่รัฐบาลวางเป้าหมายพัฒนาประเทศจากการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรืออีสเทิร์นซีบอร์ด เป็นต้น