เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2557 บริษัทไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TSE ได้จัดพิธีลงนามในสัญญาแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของบริษัทฯ รวมทั้งยังแต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 3 ราย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจาก บมจ. หลักทรัพย์ บัวหลวง ได้ทำการสำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) ของนักลงทุนสถาบันเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีช่วงราคาเสนอขายที่ 3.50 - 3.90 บาทต่อหุ้น ซึ่งพบว่า นักลงทุนสถาบันได้แสดงความต้องการซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 3.90 บาท โดยมีความต้องการซื้อหุ้นคิดเป็น 6 เท่าของจำนวนหุ้นที่จัดสรร ซึ่งแสดงถึงความมั่นใจและความสนใจในหุ้นของ TSE ดังนั้น จึงได้กำหนดราคาขายหุ้น IPO ของ TSE ในราคาหุ้นละ 3.90 บาท ทั้งนี้ TSE จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 450 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 24.8 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ที่ 1,815 ล้านบาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ที่ประมาณ 1,755 ล้านบาทไปใช้ขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เช่น ลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่น การให้บริการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และจัดหาอุปกรณ์ อีกส่วนหนึ่งจะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจต่อไป สำหรับรายละเอียดการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทฯ ในครั้งนี้ แบ่งเป็นการเสนอขายให้กับนักลงทุนประเภทสถาบันประมาณร้อยละ 40 และนักลงทุนประเภทบุคคลทั่วไปรวมถึงผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ ประมาณร้อยละ 60 ของหุ้น IPO ทั้งหมด โดยจะเปิดจองให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นได้ในระหว่างวันที่ 21-24 ต.ค. นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 30 ต.ค. นี้
ด้าน ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า หุ้น IPO ของ บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไป เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ
ด้าน ดร.แคทลีน มาลีนนท์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TSE กล่าวว่า ธุรกิจของบริษัทฯ มีแนวโน้มสดใส จากการที่ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม โดยภาครัฐได้เพิ่มเป้าหมายของพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกในแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2555-2564 ให้เป็นร้อยละ 25 ของกำลังการผลิต ซึ่งจากนโยบายดังกล่าวส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่มีเป้าหมายไฟฟ้าอยู่ที่ 3,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2564 ที่เชื่อว่า ภาครัฐจะพิจารณาเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนเพิ่มเติม โดยบริษัทฯ พร้อมเข้าร่วมเสนอโครงการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจต่อไปในอนาคต
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการที่ดำเนินการอยู่ทั้งหมด 25 โครงการ รวม 98.5 เมกะวัตต์ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ โครงการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าความร้อนจากแสงอาทิตย์ในระบบรางรวมแสง กำลังการผลิต 4.5 เมกะวัตต์ ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยโซล่าร์เซลล์ ในรูปแบบ Solar Farm โดยร่วมทุนกับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด หรือ GPSC ซึ่งเป็นบริษัทหลักด้านธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. จำนวน 10 โครงการ รวม 80 เมกะวัตต์ ซึ่งจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ได้ครบทั้ง 10 โครงการแล้ว และโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาอาคารพาณิชย์ จำนวน 14 โครงการ โครงการละ 1 เมกะวัตต์ รวม 14 เมกะวัตต์ โดยเป็นพันธมิตรกับโฮมโปรและเดอะมอลล์กรุ๊ป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทยอยจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ครบทุกโครงการภายในสิ้นปีนี้ ทำให้บริษัทฯ ถือเป็นผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาอาคารพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดของไทยในปัจจุบัน
ส่วนผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปีนี้ พบว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 855.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 166.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 321.48 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 648.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจาก บมจ. หลักทรัพย์ บัวหลวง ได้ทำการสำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) ของนักลงทุนสถาบันเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีช่วงราคาเสนอขายที่ 3.50 - 3.90 บาทต่อหุ้น ซึ่งพบว่า นักลงทุนสถาบันได้แสดงความต้องการซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 3.90 บาท โดยมีความต้องการซื้อหุ้นคิดเป็น 6 เท่าของจำนวนหุ้นที่จัดสรร ซึ่งแสดงถึงความมั่นใจและความสนใจในหุ้นของ TSE ดังนั้น จึงได้กำหนดราคาขายหุ้น IPO ของ TSE ในราคาหุ้นละ 3.90 บาท ทั้งนี้ TSE จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 450 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 24.8 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ที่ 1,815 ล้านบาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ที่ประมาณ 1,755 ล้านบาทไปใช้ขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เช่น ลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่น การให้บริการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และจัดหาอุปกรณ์ อีกส่วนหนึ่งจะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจต่อไป สำหรับรายละเอียดการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทฯ ในครั้งนี้ แบ่งเป็นการเสนอขายให้กับนักลงทุนประเภทสถาบันประมาณร้อยละ 40 และนักลงทุนประเภทบุคคลทั่วไปรวมถึงผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ ประมาณร้อยละ 60 ของหุ้น IPO ทั้งหมด โดยจะเปิดจองให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นได้ในระหว่างวันที่ 21-24 ต.ค. นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 30 ต.ค. นี้
ด้าน ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า หุ้น IPO ของ บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไป เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ
ด้าน ดร.แคทลีน มาลีนนท์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TSE กล่าวว่า ธุรกิจของบริษัทฯ มีแนวโน้มสดใส จากการที่ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม โดยภาครัฐได้เพิ่มเป้าหมายของพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกในแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2555-2564 ให้เป็นร้อยละ 25 ของกำลังการผลิต ซึ่งจากนโยบายดังกล่าวส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่มีเป้าหมายไฟฟ้าอยู่ที่ 3,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2564 ที่เชื่อว่า ภาครัฐจะพิจารณาเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนเพิ่มเติม โดยบริษัทฯ พร้อมเข้าร่วมเสนอโครงการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจต่อไปในอนาคต
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการที่ดำเนินการอยู่ทั้งหมด 25 โครงการ รวม 98.5 เมกะวัตต์ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ โครงการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าความร้อนจากแสงอาทิตย์ในระบบรางรวมแสง กำลังการผลิต 4.5 เมกะวัตต์ ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยโซล่าร์เซลล์ ในรูปแบบ Solar Farm โดยร่วมทุนกับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด หรือ GPSC ซึ่งเป็นบริษัทหลักด้านธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. จำนวน 10 โครงการ รวม 80 เมกะวัตต์ ซึ่งจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ได้ครบทั้ง 10 โครงการแล้ว และโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาอาคารพาณิชย์ จำนวน 14 โครงการ โครงการละ 1 เมกะวัตต์ รวม 14 เมกะวัตต์ โดยเป็นพันธมิตรกับโฮมโปรและเดอะมอลล์กรุ๊ป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทยอยจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ครบทุกโครงการภายในสิ้นปีนี้ ทำให้บริษัทฯ ถือเป็นผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาอาคารพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดของไทยในปัจจุบัน
ส่วนผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปีนี้ พบว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 855.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 166.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 321.48 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 648.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน