ไทย โซลาร์ เอ็นเนอร์ยี่จ่อลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ คาดได้ข้อสรุปปลายปีนี้ ยันพร้อมลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในไทยเพิ่ม รอความชัดเจนจากภาครัฐในการรับซื้อเพิ่มเติม เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 450 ล้านหุ้นภายในปลาย ต.ค.หรือต้น พ.ย.นี้
นางแคทลีน มาลีนนท์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (TSE) ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้ โดยบริษัทจะถือหุ้นใหญ่ในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในต่างประเทศ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีทีมงานศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนประเภทอื่นๆ ทั้งพลังงานลม ก๊าซชีวภาพ ชีวมวล และขยะด้วย แต่เบื้องต้นจะมุ่งเน้นการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเติมเป็นหลัก หากรัฐเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนใหม่อีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวม 99 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มจำนวน 10 โรง กำลังผลิตรวม 85 เมกะวัตต์ และโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) อีก 14 แห่ง รวม 14 เมกะวัตต์
“ที่ผ่านมาบริษัทได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการทำโรงไฟฟ้าจากขยะแต่พบว่าไม่ง่าย แม้ว่านโยบายรัฐจะให้การส่งเสริมก็ตาม ทำให้บริษัทฯ หันมามุ่งเน้นการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป็นอันดับแรก เนื่องจากมีความชำนาญมากกว่าและต้องการให้ธุรกิจโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์มีความเข้มแข็งก่อนจึงค่อยขยายไปสู่โรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ”
นายธีร์ สีอัมพรโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัทไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลฟิลิปปินส์มีแผนจะรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเติมอีก 450-500 เมกะวัตต์ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีโอกาสที่ฟิลิปปินส์จะเกิดไฟฟ้าดับได้ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มที่ฟิลิปปินส์
ยอมรับว่าค่าไฟฟ้าที่ฟิลิปปินส์สูงกว่าไทยอยู่ที่ระดับ 9.68 เปโซ/หน่วย หรือประมาณ 6-7 บาท/หน่วย โดยการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศจะร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นเช่นเดียวกับโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่น ซึ่งได้มีการศึกษามาระยะหนึ่งแล้ว คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้
นางแคทาลีนกล่าวถึงแผนการนำบริษัท TSE เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ MAI ว่า บริษัทจะขายหุ้นเพิ่มทุนให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 450 ล้านหุ้นในปลาย ต.ค.หรือต้น พ.ย.นี้ โดยจะกำหนดราคาหุ้น IPO ในช่วงกลางเดือน ต.ค.
เงินที่ได้จากการขายหุ้นนั้นส่วนหนึ่งจะนำมาชำระคืนหนี้ และใช้ในการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเติมทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งบริษัทฯ มีศักยภาพที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นได้ปีละ 100-300 เมกะวัตต์ได้หากรัฐมีนโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทนอย่างชัดเจน
วันนี้ (30 ก.ย.) บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ และ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมเปิดตัวความร่วมมือในการพัฒนาโครงกาพลังงานทดแทนไทยและเยี่ยมชมโครงการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาอาคารพาณิชย์(โซลาร์รูฟท็อป) ที่ห้างโฮมโปร สาขาลพบุรี 1 ใน 2 โครงการของเฟสแรกที่เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้แล้ว คาดว่าเดือนตุลาคมนี้จะจ่ายไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์รูฟท็อปได้ 5 โครงการ และสิ้นปีนี้มั่นใจจ่ายไฟฟ้าโครงการโซลาร์รูฟท็อปได้ครบทั้ง 14 โครงการ
บริษัทเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตผลิตและจำหน่ายโซลาร์รูฟท็อปรายใหญ่ที่สุดของไทยโดยกำลังการผลิต 14 เมกะวัตต์ใช้เงินลงทุนรวม 735 ล้านบาท สร้างรายได้ปีละ 100 กว่าล้านบาท
ด้านนายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ได้นำสาขาโฮมโปรที่มีศักยภาพจำนวน 11 สาขา เข้าร่วมโครงการ และในอนาคตห้างโฮมโปรยังมีแนวคิดขยายความร่วมมือกับพันธมิตรดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนไทย โดยจะคัดเลือกทำเลที่ตั้งของห้างโฮมโปรที่ปัจจุบันมีอยู่ 69 สาขา รวมถึงสาขาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ที่มีศักยภาพเหมาะต่อการพัฒนาไปสู่การดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาอาคารพาณิชย์ เพื่อร่วมกันผลักดันความสำเร็จให้มากขึ้น